tag:blogger.com,1999:blog-4164361263015879542024-03-19T03:50:44.685-07:00O-palza^0^ O~PAL ^0^ คติธรรม...เป้าหมายมีไว้พุ่งชนOPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.comBlogger18125tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-15091081160428870572011-02-13T05:39:00.000-08:002011-02-13T05:41:08.088-08:00ทำแบบทดสอบ<a href="http://www.exam.in.th/subject_list.php?u="><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">http://www.exam.in.th/subject_list.php?u=</span></a>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-1248933185928474052010-09-14T10:12:00.000-07:002010-09-14T10:16:16.509-07:00การจัดระเบีบยบริหารราชการแผ่นดิน<div><span style="font-size:180%;color:#ff0000;">การจัดระเบีบยบริหารราชการแผ่นดิน</span></div><br /><div></div><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516818539544151090" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 158px; CURSOR: hand; HEIGHT: 147px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1BL8JUbStJ0zLnxfn2XLu1GeP7h2OWpKhzSOPCaVsdhaTpAMmsLWWVt6WDFQQjeamgDt-DeUCsDcSxE6KMnN36Mryw8WZ4DJHiqECHIfz8QBN1dEqOECZYHae3MIMYiigp6wYmL5wnvg/s320/images9.jpg" border="0" /></div><br /><p><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ffff66;"><span style="color:#ff0000;">การบริหารราชการแผ่นดิน</span> </span><span style="color:#ffff33;">หมายถึง การกำหนดนโยบายและทิศทางว่าจะจัดการปกครองประเทศในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง การต่างประเทศ ไปในแนวทางใดและใช้วิธีการใด จึงจะเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพ คุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การลดภารกิจที่ไม่จำเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น การกระจายอำนาจตัดสินใจ การอำนวยความสะดวก และการตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยการจัดหาอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ งบประมาณ เครื่องมือเครื่องใช้ และออกกฎ ระเบียบต่าง ๆ มารองรับ ตลอดจนการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายตามที่อำนาจนิติบัญญัติคือรัฐสภาให้ความเห็นชอบตราขึ้นใช้บังคับ<br />การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศต่าง ๆ มีปรากฏให้เห็นทั้งที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ และเยอรมนี ส่วนสหรัฐอเมริกาแบ่งออกเป็นบริหารส่วนกลาง คือรัฐบาลกลาง และรัฐบาลท้องถิ่น หรือรัฐบาลมลรัฐ สำหรับประเทศที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ที่เด่นชัดมี 2 ประเทศ คือ ไทย และฝรั่งเศส<br /></span></span><span style="font-size:130%;color:#cc33cc;">การจัดระเบียบบริหารราชการออกเป็น 2 หรือ 3 ส่วนนั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล สภาพของประเทศ ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมด้านการเมืองการปกครองและการบริหารของประเทศนั้น ๆ<br />สำหรับประเทศไทย พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 บัญญัติให้การบริหารราชการแผ่นดินแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ บริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยทั้ง 3 ส่วนนี้ ล้วนอยู่ในการควบคุมดูแลของคณะรัฐมนตรี ซึ่งหน้าที่รับผิดชอบบริหารราชการแผ่นดิน อันครอบคลุมไปถึงการกำหนดนโยบายเพื่อให้ข้าราชการนำไปปฏิบัติ การอำนวยความสะดวกและการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนตามกฎหมาย นโยบาย และคำสั่งของคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา</span></p><p><br /><a class="new" title="การบริหารราชการส่วนกลาง (ยังไม่ได้สร้าง)" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#33ff33;">การบริหารราชการส่วนกลาง</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff6666;"> : ใช้หลักการรวมอำนาจ โดยให้อำนาจการบังคับบัญชาและการวินิจฉัยสั่งการสูงสุดอยู่ในส่วนกลาง คือกรุงเทพมหานครอันเป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ แบ่งส่วนราชการออกเป็น<br />(1) สำนักนายกรัฐมนตรี<br />(2) กระทรวง หรือทบวงซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากระทรวง<br />(3) ทบวง ซึ่งสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง<br />(4) กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ซึ่งสังกัดหรือไม่ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง สำนักนายกรัฐมนตรี ส่วนราชการดังกล่าวนี้มีฐานะเป็นนิติบุคคล</span></p><p><br /><a class="new" title="การบริหารราชการส่วนภูมิภาค (ยังไม่ได้สร้าง)" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#33ff33;">การบริหารราชการส่วนภูมิภาค</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;"> : ใช้หลักการแบ่งอำนาจ โดยราชการส่วนกลางเป็นเจ้าของอำนาจ แล้วแบ่งอำนาจการบังคับบัญชาและการวินิจฉัยสั่งการให้แก่ภูมิภาคนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน และการปฏิบัติของภูมิภาคนั้นจะต้องให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้จะต้องไม่ขัดต่อนโยบายของส่วนกลางหรือของคณะรัฐมนตรี หรือตัวบทกฎหมายของประเทศ การบริหารราชการส่วนภูมิภาค มี 2 ระดับ คือจังหวัด และอำเภอ</span></p><p><br /><a class="new" title="การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น (ยังไม่ได้สร้าง)" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#33ff33;">การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;"> : ใช้หลักการกระจายอำนาจ ที่ส่วนกลางได้มอบอำนาจระดับหนึ่งให้ประชาชนในท้องถิ่นไปดำเนินการปกครองตนเองอย่างอิสระ โดยที่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมายของประเทศหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน กิจกรรมที่ทำได้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการพัฒนา มีอิสระในการตัดสินใจในการแก้ปัญหาหรือการสนับสนุนกิจกรรมของท้องถิ่น ออกข้อบังคับหรือระเบียบต่าง ๆ มาบังคับในเขตการปกครองของตนได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ในปัจจุบันมีรูปแบบ<br />(1) องค์การบริหารส่วนจังหวัด<br />(2) เทศบาล<br />(3) สุขาภิบาล และ<br />(4) ราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอื่นตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา</span></p>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-80481278227599492142010-09-14T10:08:00.000-07:002010-09-14T10:11:26.317-07:00ศาลยุติธรรมไทย<div><span style="font-size:180%;color:#ff0000;">ศาลยุติธรรมไทย</span></div><br /><div><span style="font-size:180%;color:#ff0000;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516817688855210754" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 144px; CURSOR: hand; HEIGHT: 160px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMP5Y_s7E3jlWJftv5VhyphenhyphenizGBJ10-lPoupo6buWT2TgYT1C09j5eckhTufYrNddTDkS41vZ0ZM1zgUegyGn1y0cmp4lrJcOL09ZaZysjVJxZmxo2vzyAHGijmgEV9Mbosz7WCfnmXS_Ms/s320/imagesCA0AYM82.jpg" border="0" /></span></div><br /><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#33ff33;">ศาลยุติธรรม (The Court of Justice)<br /></span><span style="color:#ff99ff;">เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่</span></span><a title="รัฐธรรมนูญ" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%8D"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">รัฐธรรมนูญ</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">หรือ</span><a title="กฎหมาย" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">กฎหมาย</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">บัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น<br />ศาลยุติธรรมมี 3 ชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เว้นแต่ที่มีบัญญัติเป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมายอื่น<br /></span><a title="ศาลชั้นต้น" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ศาลชั้นต้น</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;"> ได้แก่ </span><a title="ศาลแพ่ง" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%87"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ศาลแพ่ง</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;"> ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี </span><a title="ศาลอาญา" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ศาลอาญา</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;"> ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี </span><a title="ศาลจังหวัด" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ศาลจังหวัด</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;"> </span><a title="ศาลแขวง" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%87"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ศาลแขวง</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;"> และศาลยุติธรรมอื่นที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดให้เป็นศาลชั้นต้น เช่น </span><a class="new" title="ศาลเยาวชนและครอบครัว (หน้านี้ไม่มี)" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ศาลเยาวชนและครอบครัว</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;"> </span><a title="ศาลแรงงาน" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ศาลแรงงาน</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;"> </span><a class="mw-redirect" title="ศาลภาษีอากร" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ศาลภาษีอากร</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;"> </span><a title="ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;"> </span><a class="new" title="ศาลล้มละลาย (หน้านี้ไม่มี)" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2&action=edit&redlink=1"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ศาลล้มละลาย</span></a><br /><a title="ศาลอุทธรณ์" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ศาลอุทธรณ์</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;"> ได้แก่ ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค<br /></span><a title="ศาลฎีกา" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ศาลฎีก</span></a><a title="ศาลฎีกา" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2"><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">า</span></a><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">ซึ่งเป็นศาลยุติธรรมสูงสุด ที่มีอยู่เพียงศาลเดียว<br />ศาลยุติธรรมมีความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อ ปกครองลูกโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นผู้ทรงพระราชอำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีความให้แก่ราษฎรโดยยึดหลัก "คัมภีรพระธรรมศาสตร" ของอินเดีย ต่อมา เมื่อพระองค์มีราชกิจมากขึ้นไม่สามารถวินิจฉัยชี้ขาดคดีความด้วยพระองค์เองได้จึง ทรงมอบพระราชอำนาจนี้ให้แก่พราหมณ์ปุโรหิตผู้มีความรู้ช่วยวินิจฉัยคดีต่าง ๆ พระองค์ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได ้โปรดฯให้มีการตรวจชำระกฎหมายที่มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยนำมาปรับ และบัญญัติขึ้นใหม่เรียกว่า "กฎหมายตราสามดวง"ศาลในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้นมีอยู่มากมายหลายศาลกระจายกันอยู่ตามกระทรวงกรมต่าง ๆและมีหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีต่างพระเนตรพระกรรณแทนพระมหากษัตริย์ต่อมาเมื่อบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น มีการติดต่อกับชาวต่างชาติ ลัทธิชาวตะวันตกได้แผ่ขยาย เข้ามาทำให้ระบบการศาลไทยมีการเปลี่ยนแปลงมิฉะนั้นอาจเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับชาติตะวันตกได้ จึงมีการปฏิรูประบบการศาลไทยขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีบทบาทในการวางรากฐานระบบการศาลยุติธรรม โดยได้รวมศาลที่กระจัดกระจายอยู่ตามกระทรวงกรมต่าง ๆ ให้มารวมไว้ในท ี่แห่งเดียวกัน เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว ถูกต้อง เหมาะสมไม่ทำให้ราษฎรเดือดร้อน และในโอกาสที่กรุงเทพมหานครมีอายุครบ 100 ปี ซึ่งตรงกับวันที่21 เมษายน 2425 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทางขบวนพยุหยาตรามาวางศิลาก่อพระฤกษ์อาคารศาลสถิตย์ยุติธรรม และทรงโปรดฯ ให้จารึกพระราชปรารภในการจัดตั้งศาลยุติธรรมไว้ในแผ่นเงิน ซึ่งเรียกว่า"หิรัญบัตร" มีความกว้าง 9.5 ซ.ม. ยาว 37.2 ซ.ม. จำนวน 4 แผ่น ฝังอยู่ใต้อาคารศาลสถิตย์ยุติธรรมบนแผ่นเงินจารึกด้วยอักษรไทยที่สวยงามและทรงคุณค่ามาก แสดงให้เห็นถึงพระบรมราโชบายในการปกครองแผ่นดินว่ามีพระราชประสงค์ให้ตั้งศาลขึ้นเพื่อทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดอรรถคดี ทรงเล็งเห็นว่าบ้านเมืองจะอยู่ด้วยความสงบสุขร่มเย็นต้องอาศัยการศาลเป็นสำคัญจึงทรงจัดระบบกฎหมายและระเบียบทางการศาลขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของชาติตะวันตก โดยมีกรมหลวงพิชิตปรีชากรและพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์เป็นกำลังสำคัญในการแก้ไขกฎหมายและปฏิรูประบบการศาลยุติธรรมให้เจริญรุ่งเรืองเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประะเทศ ศาลจึงเป็นสถาบันที่ประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรมให้แก่ประชาชนสืบมาตราบเท่าทุกวันนี้ และในโอกาสที่กรุงเทพมหานครครบรอบ 220 ปี ซึ่งตรงกับศาลยุติธรรมครบรอบ120 ปี ในปี พ.ศ. 2545สำนักงานศาลยุติธรรมจึงร่วมกันจัดตั้งพิพิธภัณฑศาลไทยและหอจดหมายเหตุขึ้นเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ที่มีต่อศาลยุติธรรม จึงถือเอาวันที่ 21 เมษายนของทุกปีเป็น "วันศาลยุติธรรม"</span>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-83318897403764155532010-09-14T09:59:00.000-07:002010-09-14T10:07:27.911-07:00รัฐบาลไทย<a href="http://tirada-bow.blogspot.com/2010/08/blog-post_6282.html"><span style="font-size:180%;color:#ff0000;">รัฐบาลไทย(คณะรัฐมนตรี)</span></a><span style="font-size:180%;color:#ff0000;"> </span><br /><br /><span style="font-size:180%;color:#ff0000;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516816721315881170" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 157px; CURSOR: hand; HEIGHT: 113px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFN2657Tg47SSrLSfvdUg-tIu7DA8OSRyal5p9oWl6bTuRbZ6HpfL1Ev9ZnDwP-SOtbj5_dhDcpcvlQywPHOGotD_C9bWxsIE5I7DnkmWt4DDnrYaLap2BhtQXyT2rXwfWdGkhnWl2VUI/s320/imagesCAE05Z4V.jpg" border="0" /></span><br /><a title="คณะรัฐมนตรี" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">คณะรัฐมนตรี</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">คณะที่59 (</span><a title="17 ธันวาคม" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/17_%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">17ธันวาคม</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;"> </span><a title="พ.ศ. 2551" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2551"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">พ.ศ.2551</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;"> - ปัจจุบัน) หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม คณะรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ 1 (ครม. อภิสิทธิ์ 1)<br /></span><a title="อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C_%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B0"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;"> เป็น</span><a title="นายกรัฐมนตรี" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">นายกรัฐมนตรี</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;"> ตามประกาศพระบรมราชโองการ เมื่อวันที่ </span><a title="17 ธันวาคม" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/17_%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">17 ธันวาคม</span></a><a title="พ.ศ. 2551" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2551"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">พ.ศ. 2551</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;"> </span><a title="พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: underline; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8A"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;"> ทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศ โดยมี</span><a title="ชัย ชิดชอบ" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2_%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">นายชัย ชิดชอบ</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;"> </span><a title="รายนามประธานรัฐสภาไทย" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">ประธาน</span></a><a title="สภาผู้แทนราษฎร" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">สภาผู้แทนราษฎร</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;"> เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และในวันที่ </span><a title="20 ธันวาคม" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/20_%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">20 ธันวาคม</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;"> </span><a title="พ.ศ. 2551" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2551"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">พ.ศ. 2551</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;"> ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้ง</span><a title="คณะรัฐมนตรี" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">คณะรัฐมนตรี</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;"> โดยมี </span><a title="อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" style="BACKGROUND-IMAGE: none; TEXT-DECORATION: none; background-origin: initial; background-clip: initial" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C_%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B0"><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ</span></a><span style="font-size:130%;color:#33ccff;">นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ<br />รายชื่อคณะรัฐมนตรีคณะที่ 59 ของไทยนายกรัฐมนตรี</span><br /><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#33ccff;"></span><span style="color:#9999ff;">* นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มวาระ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551คณะรัฐมนตรีคณะที่ 59 ของไทย เริ่มวาระ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551</span></span><br /><br /><span style="font-size:180%;color:#ffff00;">+++ รองนายกรัฐมนตรี +++</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">2 นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">3 พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์สำนักนายกรัฐมนตรี</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">4 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">5 นายวีระชัย วีระเมธีกุลกระทรวงกลาโหม</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">6 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณกระทรวงการคลัง</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">7 นายกรณ์ จาติกวณิช</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">8 นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">9 นายแพทย์พฤติชัย ดำรงรัตน์กระทรวงการต่างประเทศ </span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">10 นายกษิต ภิรมย์กระทรวงการท่องเที่ยวฯ</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">11 นายชุมพล ศิลปอาชากระทรวงการพัฒนาสังคมฯ</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">12 นายวิฑูรย์ นามบุตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">13 นายธีระ วงศ์สมุทร</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">14 นายชาติชาย พุคยาภรณ์กระทรวงคมนาคม </span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">15 นายโสภณ ซารัมย์</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">16 นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">17 นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตรกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">18 นายสุวิทย์ คุณกิตติกระทรวงไอซีที</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">19 ร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวีกระทรวงพลังงาน</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">20 นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูลกระทรวงพาณิชย์</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">21 นางพรทิวา นาคาศัย</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">22 นายอลงกรณ์ พลบุตรกระทรวงมหาดไทย </span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">23 นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">24 นายถาวร เสนเนียม</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">25 นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์กระทรวงยุติธรรม </span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">26 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคกระทรวงแรงงาน</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">27 นายไพฑูรย์ แก้วทองกระทรวงวัฒนธรรม</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">28 นายธีระ สลักเพชรกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">29 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิชกระทรวงอุตสาหกรรม</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">30 นายชาญชัย ชัยรุ่งเรืองกระทรวงศึกษาธิการ</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">31 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">32 นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">33 นางสาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์กระทรวงสาธารณสุข</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">34 นายวิทยา แก้วภราดัย</span><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">35 นายมานิต นพอมรบดี </span>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-39447910938675810712010-09-14T09:52:00.000-07:002010-09-14T09:58:43.723-07:00รัฐสภาไทย<div><span style="font-size:180%;color:#c0c0c0;">รัฐสภาไทย</span></div><br /><div></div><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516813702406660546" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 165px; CURSOR: hand; HEIGHT: 128px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhk-40D0OLNVr7TRBIbMxA72d061lfs6kcgLSXPunmcXGeGma-iW-xQ8saoBAgH-fsWfbrxd41EY42FpCeqbKpEcwpK0TYF59x36Ub0us1QtcT_AKDWxHZE41S1Js5in_8GGZosITT0XdQ/s320/images4.jpg" border="0" /></div><br /><p><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">รัฐสภาแห่งราชอาณาจักรไทย</span> </span><span style="font-size:130%;"><span style="color:#33ff33;">เป็นสถาบันที่พระมหากษัตริย์ไทยพระราชทานอำนาจให้เป็นผู้ออกกฎหมายสำหรับการปกครองและการบริหารประเทศ ซึ่งเรียกว่า อำนาจนิติบัญญัติ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติให้รัฐสภา ประกอบด้วย วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะประชุมร่วมกัน หรือแยกกัน ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา เป็นรองประธานรัฐสภา โดยตำแหน่ง<br /></span><span style="color:#ff0000;">+++ ประวัติรัฐสภาไทย</span></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffcccc;">รัฐสภาของประเทศไทยกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับแรก เมื่อผู้แทนราษฎรจำนวน 70 คนซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้เปิดประชุมสภาขึ้นเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และเมื่อการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศได้สำเร็จลง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานพระที่นั่งอนันตสมาคมองค์นี้แก่ผู้แทนราษฎรเพื่อใช้เป็นที่ประชุมสืบต่อมาต่อมา เมื่อจำนวนสมาชิกรัฐสภาต้องเพิ่มมากขึ้นตามอัตราส่วนของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องจัดสร้างอาคารรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่กว่า เพื่อให้มีที่ประชุมเพียงพอกับจำนวนสมาชิก และมีที่ให้ข้าราชการสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาใช้เป็นที่ทำงาน จึงได้มีการวางแผนการจัดสร้างอาคารรัฐสภาขึ้นใหม่ถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ก็ต้องระงับไปถึง 3 ครั้ง เพราะคณะรัฐมนตรีผู้ดำริต้องพ้นจากตำแหน่งไปเสียก่อนในครั้งที่ 4 แผนการจัดสร้างรัฐสภาใหม่ได้ประสบผลสำเร็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงยืนยันพระราชประสงค์เดิมที่จะให้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมและบริเวณ เป็นที่ทำการของรัฐสภาต่อไป และยังได้พระราชทานที่ดินบริเวณทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม ให้เป็นที่จัดสร้างสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาขึ้นใหม่ด้วยสถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 โดยมีกำหนดสร้างเสร็จภายใน 850 วัน ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 51,027,360 บาท ประกอบด้วยอาคารหลัก 3 หลัง คือ</span></p><p><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff99ff;">++ หลังที่ 1</span> <span style="color:#33ccff;">เป็นตึก 3 ชั้นใช้เป็นที่ประชุมวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และการประชุมร่วมกันของสภาทั้งสอง ส่วนอื่นๆ เป็นที่ทำการของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ประธาน และรองประธานของสภาทั้งสอง</span></span></p><p><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff99ff;">++ หลังที่ 2</span> <span style="color:#33ccff;">เป็นตึก 7 ชั้น ใช้เป็นสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาและโรงพิมพ์รัฐสภา</span></span></p><p><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff99ff;">++ หลังที่ 3</span> <span style="color:#33ccff;">เป็นตึก 2 ชั้นใช้เป็นสโมสรรัฐสภา</span></span></p><p><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">+++ สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา</span> <span style="color:#66ff99;">ใช้ในการประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517 สำหรับพระที่นั่งอนันตสมาคม ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และใช้เป็นที่รับรองอาคันตุกะบุคคลสำคัญ ใช้เป็นสถานที่ประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุม รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ และมีโครงการใช้ชั้นล่างของพระที่นั่งเป็นจัดสร้างพิพิธภัณฑ์รัฐสภา </span></span></p>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-57089481595002067062010-09-14T08:47:00.000-07:002010-09-14T09:51:53.578-07:00ประวัติการ กบฎ ปฏิวัติและการรัฐประหารในประเทศไทย<div><a href="http://aun-1995.blogspot.com/2010/08/blog-post.html"><span style="font-size:180%;"><span style="color:#3333ff;">ประวัติการ กบฎ ปฏิวัติและการรัฐประหารในประเทศไทย</span> </span></a></div><br /><div></div><br /><div><span style="color:#ffff00;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516808536181040978" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 157px; CURSOR: hand; HEIGHT: 109px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiGckZFXrKcACih3O6qvpaFX6CcNIQTG2nQv-ylCqX3utCvysu52HV_rIz-dAahJyTX_-6S6QuCxmVYhKKBS6y4bjm0ghofS4C6HDZYiQSxdos-s_58KTUQE9y0ucgv4ro0QwBYCJYhnDA/s320/imagesCAP2VWZ1.jpg" border="0" /></span></div><br /><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">การทำรัฐประหาร คือการใช้กำลังอำนาจเข้าเปลี่ยนแปลงอำนาจของรัฐ โดยมาก หากรัฐประหารครั้งนั้นสำเร็จ จะเรียกว่า 'ปฏิวัติ' แต่หากไม่สำเร็จ จะเรียกว่า 'กบฏ'จาก พ.ศ. 2475 - พ.ศ. 2534 มีการก่อรัฐประหารหลายครั้ง ทั้งที่เป็น การปฏิวัติ และเป็น กบฏ มีดังนี้พ.ศ. เหตุการณ์ หัวหน้าก่อการ รัฐบาล</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2475 ปฏิวัติ 24 มิถุนายน พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2476 รัฐประหาร พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยามโนปกรณ์นิติธาดา</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2476 กบฎบวรเดช พล.อ.พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2478 กบฎนายสิบ ส.อ.สวัสดิ์ มหะหมัด พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2481 กบฎพระยาสุรเดช พ.อ.พระยาสุรเดช พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2490 รัฐประหาร พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2491 กบฎแบ่งแยกดินแดน ส.ส.อีสานกลุ่มหนึ่ง นายควง อภัยวงศ์</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2491 รัฐประหาร คณะนายทหารบก นายควง อภัยวงศ์</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2491 กบฏเสนาธิการ พล.ต.สมบูรณ์ ศรานุชิต จอมพล ป. พิบูลสงคราม</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2492 กบฎวังหลวง นายปรีดี พนมยงค์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2494 กบฎแมนฮัตตัน น.อ.อานน บุณฑริกธาดา จอมพล ป. พิบูลสงคราม</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2494 รัฐประหาร จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพล ป. พิบูลสงคราม</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2497 กบฎสันติภาพ นายกุหราบ สายประสิทธิ์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2500 รัฐประหาร จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2501 รัฐประหาร จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพล ถนอม กิตติขจร</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2514 รัฐประหาร จอมพล ถนอม กิตติขจร จอมพล ถนอม กิตติขจร</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2516 ปฏิวัติ 14 ตุลาคม ประชาชน จอมพล ถนอม กิตติขจร</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2519 รัฐประหาร พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2520 กบฎ 26 มีนาคม พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2520 รัฐประหาร พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2524 กบฎ 1 เมษายน พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์2</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">528 การก่อความไม่สงบ 9 กันยายน พ.อ.มนูญ รูปขจร * พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์</span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">2534 รัฐประหาร พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ* คณะบุคคลกลุ่มนี้ อ้างว่า พลเอก เสริม ณ นคร อดีตผู้บัญชาทหารสูงสุดเป็นหัวหน้า แต่หัวหน้าก่อการจริงคือ พ.อ. มนูญ รูปขจรประวัติการปฏิวัติรัฐประหารและกบฎ ในประเทศไทย (2475 - 2534)</span></p><p><strong><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;">+++ การปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475</span></strong></p><p><span style="font-size:130%;color:#33cc00;">" คณะราษฎร " ซึ่งประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนบางกลุ่ม จำนวน 99 นาย มีพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะ ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศสืบต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริ ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ ให้แก่ปวงชนชาวไทยอยู่ก่อนแล้ว จึงทรงยินยอมตามคำร้องขอของคณะราษฎร ที่ทำการปฏิวัติในครั้งนั้น</span></p><p><strong><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;">+++ รัฐประหาร 20 มิถุนายน 2476</span></strong></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffcc33;">พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พร้อมด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนคณะหนึ่ง ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศอีกครั้งหนึ่ง เพื่อขอให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลาออกจากตำแหน่งซึ่งเป็นการริดรอนอำนาจภายในคณะราษฏร ที่มีการแตกแยกกันเองในส่วนของการใช้อำนาจ ต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ใช้อำนาจในทางที่ละเมิดต่อกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมและประเทศชาติ เช่น ให้มีศาลคดีการเมือง ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการรัฐสภา สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินที่มีอิสระอย่างเต็มที่ การประกาศทรัพย์สินของนักการเมืองทุกคนทุกตำแหน่ง การออกกฎหมายผลประโยชน์ขัดกัน ฯลฯ</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ กบฏบวชเดช 11 ตุลาคม 2476</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffcccc;">พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายทหารจากหัวเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ก่อการเพื่อล้มล้างอำนาจของรัฐบาล โดยอ้างว่าคณะราษฎรปกครองประเทศไทยโดยกุมอำนาจไว้แต่เพียงแต่เพียงผู้เดียว และปล่อยให้บุคคลกระทำการหมิ่นองค์พระประมุขของชาติ รวมทั้งจะดำเนินการปกครองโดยลัทธิคอมมิวนิสต์ ตามแนวทางของนายปรีดี พนมยงค์ คณะผู้ก่อการได้ยกกำลังเข้ายึดดอนเมืองเอาไว้ ฝ่ายรัฐบาลได้แต่งตั้ง พ.ท.หลวง พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการกองกำลังผสม ออกไปปราบปรามจนประสบผลสำเร็จ</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ กบฏนายสิบ 3 สิงหาคม 2478</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#993399;">ทหารชั้นประทวนในกองพันต่างๆ ซึ่งมีสิบเอกสวัสดิ์ มหะมัด เป็นหัวหน้า ได้ร่วมกันก่อการเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยจะสังหารนายทหารในกองทัพบก และจับพระยาพหลพลพยุหเสนาฯ และหลวงพิบูลสงครามไว้เป็นประกัน รัฐบาลสามารถจับกุมผู้คิดก่อการเอาไว้ได้ หัวหน้าฝ่ายกบฏถูกประหารชีวิต โดยการตัดสินของศาลพิเศษในระยะต่อมา</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ กบฏพระยาทรงสุรเดช 29 มกราคม 2481</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#33ff33;">ได้มีการจับกุมบุคคลผู้คิดล้มล้างรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ให้กลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดังเดิม นายพันเอกพระยาทรงสุรเดชถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการ และได้ให้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ต่อมารัฐบาลได้จัดตั้งศาลพิเศษขึ้นพิจารณา และได้ตัดสินประหารชีวิตหลายคน ผู้มีโทษถึงประหารชีวิตบางคน เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร นายพลโทพระยาเทพหัสดิน นายพันเอกหลวงชานาญยุทธศิลป์ ได้รับการลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากศาลเห็นว่าเป็นผู้ได้ทำคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติมาก่อน</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#9999ff;">คณะนายทหารกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมี พลโทผิน ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าสำคัญ ได้เข้ายึดอำนาจรัฐบาล ซึ่งมีพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ แล้วมอบให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลต่อไป ขณะเดียวกัน ได้แต่งตั้ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ กบฏแบ่งแยกดินแดน 28 กุมภาพันธ์ 2491</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#00cccc;">จะมีการจับกุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายคน เช่น นายทิม ภูมิพัฒน์ นายถวิล อุดล นายเตียง ศิริขันธ์ นายฟอง สิทธิธรรม โดยกล่าวหาว่าร่วมกันดำเนินการฝึกอาวุธ เพื่อแบ่งแยกดินแดนภาคอีสานออกจากประเทศไทย แต่รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการจับกุมได้ เนื่องจากสมาชิกผู้แทนราษฏรมีเอกสิทธิทางการเมือง</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ รัฐประหาร 6 เมษายน 2491</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#cc66cc;">คณะนายทหารซึ่งทำรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490 บังคับให้นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วมอบให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้าดำรงตำแหน่งต่อไป</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ กบฏเสนาธิการ 1 ตุลาคม 2491</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffcccc;">พลตรีสมบูรณ์ ศรานุชิต และพลตรีเนตร เขมะโยธิน เป็นหัวหน้าคณะนายทหารกลุ่มหนึ่ง วางแผนที่จะเข้ายึดอำนาจการปกครอง และปรับปรุงกองทัพจากความเสื่อมโทรม และได้ให้ทหารเข้าเล่นการเมืองต่อไป แต่รัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ทราบแผนการ และจะกุมผู้คิดกบฏได้สำเร็จ</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ กบฏวังหลวง 26 มิถุนายน 2492</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffff66;">นายปรีดี พนมยงค์ กับคณะนายทหารเรือ และพลเรือนกลุ่มหนึ่ง ได้นำกำลังเข้ายึดพระบรมมหาราชวัง และตั้งเป็นกองบัญชาการ ประกาศถอดถอน รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และนายทหารผู้ใหญ่หลายนาย พลตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยกาปราบปราม มีการสู้รบกันในพระนครอย่างรุนแรง รัฐบาลสามารถปราบฝ่ายก่อการกบฏได้สำเร็จ นายปรีดี พนมยงค์ ต้องหลบหนออกนอกประเทศอีกครั้งหนึ่ง</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ กบฏแมนฮัตตัน 29 มิถุนายน 2494</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#33cc00;">นาวาตรีมนัส จารุภา ผู้บังคับการเรือรบหลวงสุโขทัยใช้ปืนจี้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไปกักขังไว้ในเรือรบศรีอยุธยา นาวาเอกอานน บุญฑริกธาดา หัวหน้าผู้ก่อการได้สั่งให้หน่วยทหารเรือมุ่งเข้าสู่พระนครเพื่อยึดอำนาจ และประกาศตั้งพระยาสารสาสน์ประพันธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดการสู้รบกันระหว่างทหารเรือ กับทหารอากาศ จอมพล ป. พิบูลสงคราม สามารถหลบหนีออกมาได้ และฝ่ายรัฐบาลได้ปรามปรามฝ่ายกบฏจนเป็นผลสำเร็จ</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน 2494</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจตนเอง เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ ต้องใช้วิธีการให้ตำแหน่งและผลประโยชน์ต่างๆ แก่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนอยู่เสมอ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2492 ซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น มีวิธีการที่เป็นประชาธิปไตยมากเกินไป จึงได้ล้มเลิกรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเสีย พร้อมกับนำเอารัฐธรรมนูญฉบับลงวันที่ 10 ธันวาคม 2475 มาใช้อีกครั้งหนึ่ง</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ กบฏสันติภาพ 8 พฤศจิกายน 2497</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ccccff;">นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา) และคณะถูกจับในข้อหากบฏ โดยรัฐบาลซึ่งขณะนั้นมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นว่าการรวมตัวกันเรี่ยไรเงิน และข้าวของไปแจกจ่ายแก่ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งขณะนั้นกำลังประสบกับความเดือดร้อน เนื่องจากความแห้งแล้งอย่างหนัก เป็นการดำเนินการที่เป็นภัยต่อรัฐบาล นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ กับคณะถูกศาลตัดสินจำคุก 5 ปี</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ รัฐประหาร 16 กันยายน 2500</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#006600;">จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้าคณะนายทหารนำกำลังเข้ายึดอำนาจของรัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากเกิดการเลือกตั้งสกปรก และรัฐบาลได้รับการคัดค้านจากประชาชนอย่างหนัก จอมพล ป. พิบูลสงคราม และพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ต้องหลบหนีออกไปนอกประเทศ</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#cc33cc;">เป็นการปฏิวัติเงียบอีกครั้งหนึ่ง โดยจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้น ลากออกจากตำแหน่ง ในขณะเดียวกันจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ได้ประกาศยึดอำนาจการปกครองประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากเกิดการขัดแย้งในพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล และมีการเรียกร้องผลประโยชน์หรือตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง เป็นเครื่องตอบแทนกันมาก คณะปฏิวัติได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมือง และให้สภาผู้แทน และคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน 2514</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#999900;">จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทำการปฏิวัติตัวเอง ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขึ้นทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ และให้ร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายในระยะเวลา 3 ปี</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ ปฏิวัติโดยประชาชน 14 ตุลาคม 2516</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">การเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญของนิสิตนักศึกษา และประชาชนกลุ่มหนึ่งได้แผ่ขยายกลายเป็นพลังประชาชนจำนวนมาก จนเกิดการปะทะสู้รบกันระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เป็นผลให้จอมพลถนอม กิตติขจร นายักรัฐมนตรี จอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 6 ตุลาคม 2519</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ccffff;">พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ และคณะนายทหารเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ เนื่องจากเกิดการจลาจล และรัฐบาลพลเรือนในขณะนั้นยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยทันที คณะปฏิวัติได้ประกาศให้มีการปฏิวัติการปกครอง และมอบให้นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2520</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;">พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะนายทหารเข้ายึดอำนาจของรัฐบาล ซึ่งมีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐบาลได้รับความไม่พอใจจากประชาชน และสถานการณ์จะก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างข้าราชการมากยิ่งขึ้น ประกอบกับเห็นว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในการปฏิรูปการปกครอง ซึ่งมีระยะเวลาถึง 12 ปีนั้นนานเกินไป สมควรให้มีการเลือกตั้งขึ้นโดยเร็ว</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ กบฎ 26 มีนาคม 2520</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#00cccc;">พลเอกฉลาด หิรัญศิริ และนายทหารกลุ่มหนึ่ง ได้นำกำลังทหารจากกองพลที่ 9 จังหวัดกาญจนบุรี เข้ายึดสถานที่สำคัญ 4 แห่ง คือ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกสวนรื่นฤดี กองบัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า สนามเสือป่า และกรมประชาสัมพันธ์ ฝ่ายทหารของรัฐบาลพลเรือน ภายใต้การนำของ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลอากาศเอกกมล เดชะตุงคะ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลเอกเสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารบก ได้ปราบปรามฝ่ายกบฏเป็นผลสำเร็จ พลเอกฉลาด หิรัญศิริ ถูกประหารชีวิตตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2520</span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>+++ กบฎ 1 เมษายน 2524</strong></span></p><p><span style="font-size:130%;color:#ffcc66;">พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา ด้วยความสนับสนุนของคณะนายทหารหนุ่มโดยการนำของพันเอกมนูญ รูปขจร และพันเอกประจักษ์ สว่างจิตร ได้พยายามใช้กำลังทหารในบังคับบัญชาเข้ายึดอำนาจปกครองประเทศ ซึ่งมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเกิดความแตกแยกในกองทัพบก แต่การปฏิวัติล้มเหลว ฝ่ายกบฏยอมจำนนและถูกควบคุมตัว พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา สามารถหลบหนีออกไปนอกประเทศได้ ต่อมารัฐบาลได้ออกกฏหมายนิรโทษกรรมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องการกบฏในครั้งนี้การก่อความไม่สงบ 9 กันยายน 2528พันเอกมนูญ รูปขจร นายทหารนอกประจำการ ได้นำกำลังทหาร และรถถังจาก ม.พัน 4 ซึ่งเคยอยู่ใต้บังคับบัญชา และกำลังทหารอากาศโยธินบางส่วน ภายใต้การนำของนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร เข้ายึดกองบัญชาการทหารสูงสุด และประกาศให้ พลเอกเสริม ณ นคร เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองของประเทศ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในขณะที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี และพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก อยู่ในระหว่างการไปราชการต่างประเทศ กำลังทหารฝ่ายรัฐบาลโดยการนำของพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผู้บัญชากรทหารสูงสุด ได้รวมตัวกันต่อต้านและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ในเวลาต่อมา พันเอกมนูญ รูปขจร และนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร หลบหนีออกนอกประเทศ การก่อความไม่สงบในครั้งนี้มีอดีตนายทหารผู้ใหญ่หลายคน ตกเป็นผู้ต้องหาว่ามีส่วนร่วมอยู่ด้วย ได้แก่ พลเอกเสริม ณ นคร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลอากาศเอกพะเนียง กานตรัตน์ พลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา และพลอากาศเอกอรุณ พร้อมเทพ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติซึ่งประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ เจ้าหน้าที่-ตำรวจ และพลเรือน ภายใต้การนำของพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบก พลเรือเอกประพัฒน์ กฤษณ-จันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลอากาศเกษตร โรจนนิล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลตำรวจเอกสวัสดิ์ อมร-วิวัฒน์ อธิบดีกรมตำรวจ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ และพลเอกอสิระพงศ์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารบก เลขาธิการคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองจากพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี</span></p>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-1471952154406266572010-09-14T08:34:00.000-07:002010-09-14T08:46:26.787-07:00การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475<div><span style="font-size:180%;color:#33ccff;">การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475</span></div><div><span style="font-size:180%;color:#33ccff;"></span> </div><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516795125580904338" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 163px; CURSOR: hand; HEIGHT: 134px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiHGfe92GVl2S0pOjwR3lLyRb62dujXWBIHTAn9ZlNi0V-XsnuRcsqLWi0VUOIadE6KpKiMf9085r1RF5tASWlIwIqjGJ37HPVeHx2FUZM48dJcqtDg9-XAegjA9D6SEqAEJ7AlscSdXHc/s320/images3.jpg" border="0" /></div><br /><p> </p><p><span style="color:#ff6600;">วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทุกวันที่ 24 มิถุนายน ของทุกปีการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 คือ การปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ได้ใช้กลลวง นำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม ประมาณ 2000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเป็นการสวนสนาม จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือน ประกาศยึดอำนาจการปกครอง ก่อนจะนำกำลังแยกย้ายไปปฏิบัติการต่อไปหลักฐานประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นหมุดทองเหลือง ฝังอยู่กับพื้นถนน บนลานพระบรมรูปทรงม้า ด้านสนามเสือป่า (ถ้าหันหน้าไปทางเดียวกับหัวม้า จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ) มีข้อความว่า "ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎร ได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ" เป็นหลักฐานถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เมื่อ 72 ปีก่อน ข้อความเหล่านี้นับวันแต่จะเลือนหายไปตามกาลเวลา คณะราษฎรที่ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 นั้นประกอบด้วยคนสองกลุ่ม คือกลุ่มนักเรียนไทยในต่างประเทศกลุ่มนายทหารในประเทศไทยบุคคลทั้งสองกลุ่มพื้นฐานการศึกษาคล้ายกัน คือ ศึกษาวิชาพื้นฐานหรือวิชาชีพจากประเทศทางตะวันตก ใกล้ชิดกับการปกครองของประเทศที่ตนไปศึกษา คือ ได้สัมผัสกับบรรยากาศการปกครองในระบอบประธิปไตย เห็นความเจริญก้าวหน้าจากการที่ประชาชนในยุโรปตะวันตกมีส่วนร่วมในการปกครอง ประกอบกับบุคคลทั้งสองกลุ่มเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาสูง ส่วนใหญ่ได้รับทุนเล่าเรียนหลวง จึงกำหนดในความคิดว่าตนควรจะมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศคณะผู้ก่อการยึดอำนาจการปกครอง ได้รวมกลุ่มกันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ พ.ศ. 2469 ได้มีข้อขัดแย้งกับผู้ดูแลนักเรียนไทยในฝรั่งเศสซึ่งเป็นพระราชวงศ์องค์หนึ่ง ซึ่งกล่าวหาว่านักเรียนไทยเป็นพวกหัวรุนแรง ไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัย ควรเรียกบางคนกลับประเทศไทยำให้นักเรียนในต่างประเทศมีพื้นฐานการไม่พอใจสถานการณ์บ้านเมืองเป็นส่วนตัว </span></p><p><span style="color:#3333ff;">คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เป็นนักเรียนไทยในต่างประเทศเมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ก็ได้เตรียมการวางแผนยึดอำนาจโดยชักชวนให้กลุ่มนายทหารเข้าร่วมด้วย การยึดอำนาจการปกครองของประเทศไทยมีผู้กระทำมาครั้งหนึ่งแล้วใน ร.ศ.130 กระทำไม่สำเร็จ ดังนั้นคณะราษฎรจึงได้วางแผนอย่างดีป้องกันข้อบกพร่องที่อาจมีขึ้น และการชัดชวนทหารเข้าร่วมด้วยจึงทำให้เกิดความสำเร็จเพราะทหารมีอาวุธ ผู้บริหารประเทศยินยอมให้คณะราษฎรยึดอำนาจไม่โต้แย้ง ด้วยเกรงว่าพระบรมวงศานุวงศ์จนถึงประชาชนจะเป็นอันตรายเพราะอาวุธชนวนที่ทำให้คณะราษฎรลงมือวางแผนยึดอำนาจมีหลายสาเหตุ ได้แก่สาเหตุแรก สภาพบ้านเมืองในช่วงเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาอภิรัฐมนตรีสภาซึ่งสมาชิกทั้งหมดเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ด้วยเหตุผลที่จำให้แก้สถานการณ์ที่กล่าวว่า พระมหากษัตริย์กับพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่แตกแยกกัน อภิรัฐมนตรีสภาช่วยแบ่งเบาพระราชกรณียกิจได้หลายประการแต่ความคิดของผู้ใหญ่และของผู้เยาว์กว่าย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นการยับยั้งข้อเสนอบางเรื่องโดยเฉพาะพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเย้าอยู่หัวที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้ประชาชนชาวไทยในวาระราชวงศ์จักรีทรงปกครองแผ่นดินมาครบ 150 ปี จึงทำให้คณะราษฎรและกลุ่มหนังสือพิมพ์มองว่า พวกเจ้าหลงกับอำนาจสาเหตุที่สอง ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศรายได้ไม่พอกับรายจ่าย สืบเนื่องจากเศรษฐกิจของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และการใช้จ่ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว การแก้ไขคือ การดุลข้าราชการ ยุบเลิกหน่วยงานต่าง ๆ ตัดทอนค่าใช้จ่ายของกระทรวง กรม กอง และเก็บภาษีบางประการเพิ่มการแก้ไขดังนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่ผู้เสียประโยชน์ ในวงการทหารก็เช่นกัน การขัดแย้งเรื่องงบประมาณกระทรวงกลาโหม จนถึงเสนาบดีกระทรวงกลาโหมขอลาออกจากราชการ จึงเป็นเหตุให้นายทหารคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในขณะที่มีการดุลข้าราชการออก ก็มีกลุ่มบุคคลมองว่าดุลออกเฉพาะสามัญชน ส่วนข้าราชการที่เป็นเจ้าไม่ต้องถูกดุล แล้วยังบรรจุเข้าทำงานแทนสามัญชนอีก ความแตกต่างทางฐานะด้านสังคมก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งสาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ ความล่าช้าในการบริหารราชการแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์จะฝึกข้าราชการในสภากรรมการองคมนตรีให้เรียนรู้วิธีการประชุม ปรึกษาแบบรัฐสภาเพื่อเตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญ ก็ทำได้อย่างไม่มีผลเท่าไรนักพระราชบัญญติเทศบาลซึ่งจะเป็นรากฐานของการปกครองตนเองก็ยังไม่ได้ประกาศออกใช้ และข้อสุดท้ายคือ ร่างรัฐธรรมนูญที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ผู้ชำนาญการร่างไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ได้พระราชทานแก่ประชาชนการเปลี่ยนแปลงการปกครองกระทำได้สำเร็จ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชน การปกครองของประเทศจึงเปลี่ยนไป คือมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ</span><a name="76 ปี ประชาธิปไตยไทย"></a><span style="color:#3333ff;">76 ปี ประชาธิปไตยไทยการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในยุครัตนโกสินทร์ ยั่งยืนมา 150 ปี จนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรได้ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) จนบัดนี้กำลังล่วงลุสู่ปีที่ 76 ในวันที่ 24 มิถุนายน 2551 ที่จะถึงนี้เมื่อวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรผู้ก่อการปฏิวัติได้ออกประกาศเรียกว่า ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 อ้างเหตุผลความจำเป็นในการต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองความว่า"เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรได้หวังกันว่ากษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การณ์หาเป็นไปตามหวังที่คิดไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายตามเดิมทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณงามความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้างซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนราคาเงิน ผลาญเงินทองของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม ดังที่จะเห็นได้ในการตกต่ำในการเศรษฐกิจและความฝืดเคืองทำมาหากิน ซึ่งราษฎรได้รู้กันอยู่ทั่วไปแล้ว รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย มิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้ การที่แก้ไขไม่ได้ก็เพราะรัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิได้ปกครองประเทศเพื่อราษฎรตามที่รัฐบาลอื่นๆได้กระทำกัน ..... ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน ซึ่งชนชาตินั้นได้โค่นราชบัลลังก์เสียแล้ว""ฯลฯ.......เหตุฉะนั้น ราษฎร ข้าราชการ ทหาร และพลเรือน ที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของรัฐบาลดังกล่าวแล้ว จึงรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรขึ้น และได้ยึดอำนาจของรัฐบาลของกษัตริย์ไว้แล้ว คณะราษฎรเห็นว่า การที่จะแก้ความชั่วร้ายก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลายๆ ความคิดดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น คณะราษฎรไม่มีประสงค์ทำการชิงราชสมบัติ ฉะนั้น จึงขอเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองของแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะราษฎรได้แจ้งความเห็นนี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงม าก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งขึ้น อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา ตามวิธีนี้ราษฎรพึงหวังเถิดว่า ราษฎรจะได้รับความบำรุงอย่างดีที่สุด ทุก ๆ คนจะมีงานทำ เพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่อุดมอยู่แล้วตามสภาพ เมื่อเราได้ยึดเงินที่พวกเจ้ารวบรวมไว้จากการทำนาบนหลังคนตั้งหลายร้อยล้านมาบำรุงประเทศขึ้นแล้ว ประเทศจะต้องเฟื่องฟูขึ้นเป็นแม่นมั่น การปกครองซึ่งคณะราษฎรจะพึงกระทำก็คือ จำต้องวางโครงการอาศัยหลักวิชา ไม่ทำไปเหมือนคนตาบอด เช่นรัฐบาลที่มีกษัตริย์เหนือกฎหมายทำมาแล้ว"คณะผู้ก่อการปฏิวัติล้มล้างระบอบกษัตริย์ ได้ประกาศนโยบาย โดยเรียกว่า "หลักใหญ่ๆที่คณะราษฎรวางไว้" มีอยู่ว่าจะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคงจะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มากต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยากจะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎร เช่นที่เป็นอยู่)จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลักสี่ประการดังกล่าวข้างต้นจะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎรคณะราษฎรผู้ก่อการปฏิวัติ ได้ให้ความหวังแก่ประชาชนในแถงการณ์สุดท้ายว่า "ราษฎรทั้งหลาย จงพร้อมกันช่วยคณะราษฎรให้ทำกิจอันคงจะอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้สำเร็จ คณะราษฎรขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์เหนือกฎหมาย พึงตั้งอยู่ในความสงบและตั้งหน้าหากิน อย่าทำการใดๆอันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎรนี้ เท่ากับราษฎรช่วยประเทศและช่วยตัวราษฎร บุตร หลาน เหลนของตนเอง ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน และมีเสรีภาพจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาส พวกเจ้าหมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า "ศรีอาริย์" นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า"ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อ รวมทั้งความเสียหายแก่บ้านเมือง และเนื่องจากพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว จึงไม่ทรงขัดความปรารถนาของคณะราษฎรที่ได้กราบบังคมทูลเชิญเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองและได้พระราชทานรัฐธรรมนูญ ฉบับถาวรดังกล่าว เหตุการณ์บ้านเมือง มีความสับสนวุ่นวาย อาญาสิทธิในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลายเป็นการผูกขาดอำนาจเผด็จการในระบอบประชาธิปไตยที่คณะราษฎรกำหนดให้ จนมีคำกล่าวขานเป็นคำคล้องจองว่า "พระยาพหลต้นคิด หลวงประดิษฐ์ต้นเรื่อง โค่นอำนาจพระราชา ปล่อยหมูปล่อยหมามานั่งเมือง"</span></p><p><span style="color:#ff99ff;">วันที่ 2 มีนาคม 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสละราชสมบัติ โดยพระราชหัตถเลขา ความว่า"ข้าพเจ้าเห็นว่า คณะรัฐบาลและพวกพ้องใช้วิธีการปกครองไม่ถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคลและหลักความยุติธรรม ตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใด คณะใดใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชน"76 ปีที่ผ่านมาจนบัดนี้ สถานการณ์บ้านเมืองดังที่คณะราษฎรได้หยิบยกขึ้นมาประกอบเพื่อเป็นเหตุผลในการปฏิวัติยังคงมีอยู่อย่างครบถ้วนทุกประการ ซ้ำร้ายหลายประการยิ่งเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่า"คนสอพลอไร้คุณงามความรู้ขึ้นดำรงตำแหน่งหน้าที่สำคัญๆ การไม่ฟังเสียงราษฎร การปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในการรับสินบนทุจริตคอรัปชั่น การหากำไรในการเปลี่ยนราคาเงิน การปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม การทำตนอยู่เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้" หลักใหญ่ 5 ประการที่เสมือนนโยบายดังได้ประกาศไว้ และให้ความหวังไว้ว่าจะนำความสุขความเจริญอย่างประเสริฐเยี่ยง "ศรีอาริย์" มาบังเกิดแก่ราษฎรถ้วนหน้า ดูเหมือนกำลังจะนำพาประเทศชาติไปสู่ "กลียุค" เข้าทุกขณะประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 และฉบับต่อมาหลายฉบับ คือการ "ล้มเจ้า" และบังอาจจาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผยและร้ายแรงที่สุดต่อสาธารณะวันที่ 9 มิถุนายน 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงขึ้นครองราชย์ ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยพระราชปณิธานว่า "เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"62 ปี ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาล และทศพิธราชธรรมที่มั่นคง เป็นสิ่งที่นำพาชาติไทยให้ร่มเย็นเป็นสุขและอยู่รอดตลอดมา </span></p>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-79325684897786120412010-09-14T08:26:00.000-07:002010-09-14T08:33:53.292-07:00เหตุการณ์กบฎ ร.ศ 130 (กบฎเหล็ง ศรีจันทร์)<div><span style="font-size:180%;color:#ff0000;">เหตุการณ์กบฎ ร.ศ 130 (กบฎเหล็ง ศรีจันทร์)</span></div><br /><div><br /></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516791679706524274" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 127px; CURSOR: hand; HEIGHT: 167px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkYGmotTlvjbVU-v7ZBadE0zH0_RA2WBuBmLurv0rAWMwGD8mfSDbGvNjHL_gdLG6xYd4zJa-XwI45kmRPBWce6chhTQODcc3YAHfMN4hWwTIIw5_QG_Ckp1cotIhI13efgrGcj_2MHXQ/s320/images2.jpg" border="0" /><br /><div></div><br /><p> <span style="font-size:130%;color:#cc33cc;">กบฏ ร.ศ. 130 หรือ กบฏเก็กเหม็ง หรือ กบฏน้ำลาย เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2455 (ร.ศ. 130) ก่อนการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 สองทศวรรษในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อนายทหารและปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง วางแผนปฏิบัติการโดยหมายให้พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้ และเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่แผนการแตกเสียก่อน จึงมีการจับกุมผู้คิดก่อการหลายคนไว้ได้ 91 คน คณะตุลาการศาลทหารมีการพิจารณาตัดสินลงโทษให้จำคุกและประหารชีวิต โดยให้ประหารชีวิตหัวหน้าผู้ก่อการจำนวน 3 คน คือ ร.อ.เหล็ง ศรีจันทร์ ร.ท.จรูญ ณ บางช้าง และ ร.ต.เจือ ศิลาอาสน์ ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต 20 คน จำคุกยี่สิบปี 32 คน จำคุกสิบห้าปี 6 คน จำคุกสิบสองปี 30 คน [1] แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย และได้มีพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยโทษ ละเว้นโทษประหารชีวิต ด้วยทรงเห็นว่า ทรงไม่มีจิตพยาบาทต่อผู้คิดประทุษร้ายแก่พระองค์</span></p><span style="font-size:130%;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516791872325595074" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 164px; CURSOR: hand; HEIGHT: 112px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfo4fQl4KXS5ofiLo50TgH9I3Yr-8PU7Lh7spE2yo3KiOWMzYrl0FIXHaWoV088kcH3X2dbOXjAXTinW_1lfQx6t8ajm0uJqf2NeC1QpwYG2TlJ28cZKSFjOT4KkcwaDYKBH-tisEFtME/s320/images1.jpg" border="0" /><br /></span><p><br /></p><span style="font-size:130%;"> <span style="color:#ffcccc;"> คณะผู้ก่อการได้รวมตัวกันเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2455 ประกอบด้วยผู้ร่วมคณะเริ่มแรกจำนวน 7 คน คือร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ (หมอเหล็ง ศรีจันทร์) เป็นหัวหน้าร.ต.เหรียญ ศรีจันทร์ จาก กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ร.ต.จรูญ ษตะเมษ จากกองปืนกล รักษาพระองค์ร.ต.เนตร์ พูนวิวัฒน์ จาก กองปืนกล รักษาพระองค์ร.ต.ปลั่ง บูรณโชติ จาก กองปืนกล รักษาพระองค์ร.ต.หม่อมราชวงศ์แช่ รัชนิกร จาก โรงเรียนนายสิบร.ต.เขียน อุทัยกุล จาก โรงเรียนนายสิบคณะผู้ก่อการวางแผนจะก่อการในวันที่ 1 เมษายน ซึ่งเป็นวันพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และวันขึ้นปีใหม่ ผู้ที่จับฉลากว่าต้องเป็นคนลงมือลอบปลงพระชนม์ คือ ร.อ.ยุทธ คงอยู่ (หลวงสินาด โยธารักษ์) เกิดเกรงกลัวความผิด จึงนำความไปแจ้งหม่อมเจ้าพันธุ์ประวัติ ผู้บังคับการกรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ และพากันนำความไปแจ้ง สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถความทราบไปถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประทับอยู่ที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม คณะทั้งหมดจึงถูกจับกุมเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถูกส่งตัวไปคุมขังที่คุกกองมหันตโทษ ที่สร้างขึ้นใหม่ และได้รับพระราชทานอภัยโทษในพระราชพิธีฉัตรมงคล เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2467 ครบรอบปีที่ 15 ของการครองราชย์<br /></span></span><div><span style="color:#ffcccc;"></span></div>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-43897424256646047262010-09-14T08:05:00.000-07:002010-09-14T08:16:30.483-07:00การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5<div><span style="font-size:180%;color:#cc33cc;">การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5</span><br /></div><div></div><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516787476812035330" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 136px; CURSOR: hand; HEIGHT: 173px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRkW9k5v6F2QOjJcOVuc8H4kye7w3pSIWQLVErDD8-vatt49QIcDveZ3Shbc1I7UgBOxlhF69xhAEwMKnx6wdUAlvWADm7MaaB0EtGaZOLJmrn4EY4muC6hMWMHv9MWodmGhOhwd0EnEM/s320/images5.jpg" border="0" /></div><br /><p> </p><p> <span style="color:#ffcc66;">การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศจัดตั้ง "เสนาบดีสภา"และจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่12 กระทรวง ได้แก่ กลาโหม, นครบาล, วัง, เกษตรพานิชการ, พระคลัง, การต่างประเทศ, ยุทธนาธิการ, โยธาธิการ, ธรรมการ, ยุติธรรม ,มุรธาธิการ และมหาดไทย แทนจตุสดมภ์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2435 หลังจากนั้นในวันที่ 1 เมษายน 2435 ทรงยุบกระทรวงที่ซ้ำซ้อนกันอยู่ทำให้เหลือกระทรวงเพียง 10 กระทรวง คือ มหาดไทย กลาโหม นครบาล วัง ต่างประเทศ พระคลังมหาสมบัติ โยธาธิการ ยุติธรรม ธรรมการ เกษตราธิการ</span></p><p><br /><span style="color:#ffff00;">+++ การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงจัดการรวบรวมหัวเมืองตามชายแดนต่างๆ ขึ้นเป็นเขตการปกครอง เรียกว่า "มณฑล"โดยมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองและขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งออกได้ดังนี้<br />การปกครองแบบเทศาภิบาล หลักการปกครองแบบนี้คือ รัฐบาลจะทำการปกครองหัวเมืองตั้งแต่ชั้นต่ำสุดถึงสูงสุด โดยเริ่มต้นจากพลเมืองเลือกผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้าน 10 หมู่บ้านมีสิทธิเลือกกำนันของตำบล ตำบลหลายๆ ตำบลมีพลเมืองประมาณ 10,000 คนรวมกันเป็นอำเภอ หลายอำเภอรวมกันเป็นเมือง และหลายเมืองรวมเป็นมณฑลโดยมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ดูแล<br />การปกครองท้องที่ ในพ.ศ.2440 รัชกาลที่ 5 ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ สำหรับการจัดการปกครองระดับอำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน<br />การปกครองส่วนท้องถิ่น ทรงริเริ่มจัดการ "สุขาภิบาล"ในเขตกรุงเทพ และตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อทดลองให้ประชาชนรู้จักการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น</span></p><p><br /><span style="color:#33ccff;">+++ ผลของการปฏิรูปการเมืองการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5<br />ก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในราชอาณาจักร เป็นผลจากการปกครองส่วนภูมิภาคในรูปมณฑลเทศาภิบาล โดยมีศูนย์รวมอยู่ที่กรุงเทพ<br />รัฐบาลไทยที่กรุงเทพฯ สามารถขยายอำนาจเข้าควบคุมพื้นที่ภายในพระราชอาณาจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้กลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์จากการปฏิรูปการปกครองพากันก่อปฏิกิริยาต่อต้านรัฐบาล ดังจะเห็นได้จากกบฏผู้มีบุญทางภาคอีสาน ร.ศ.121 กบฏเงื้ยวเมืองแพร่ ร.ศ.121 และกบฏแขกเจ็ดหัวเมือง แต่รัฐบาลก็สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้</span></p><p><br /><span style="color:#66ff99;">+++ การปฏิรูปการยุติธรรมและการศาล<br />ในพ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายามริเริ่มปฏิรูปการศาลให้ดีขึ้น โดยการจัดตั้งศาลรับสั่งขึ้นตรงต่อพระองค์ เพื่อพิจารณาคดีความที่อยู่ในกรมพระนครบาล มหาดไทย กรมท่า เมื่อ รัชกาลที่ 5 ทรงรวมอำนาจศาลไปขึ้นกับส่วนกลาง ทำให้ค่าธรรมเนียมและรายได้ที่ขุนนางเคยได้ลดลง และไม่เปิดโอกาสให้ใช้อำนาจทางศาลในทางที่ผิดได้อีกต่อไป นอกจากนี้ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมในพ.ศ.2435 ด้วยเพื่อพิจารณาคดีอาญาและคดีแพ่งตามแบบตะวันตก โดยมอบหมายให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งสำเร็จวิชากฏหมายจากประเทศอังกฤษเป็นผู้ดำเนินการ</span></p>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-34638651522942547802010-09-14T07:47:00.000-07:002010-09-14T08:05:04.777-07:00การปกครองของไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์<div><br /><span style="font-size:180%;color:#ffff00;">การปกครองสมัยรัตนโกสินทร์</span> </div><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5516783639570676498" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 191px; CURSOR: hand; HEIGHT: 134px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhignqCdUrbcB0GWpm-QqJX_lv6yDHDUXOcPi3N1HFCTIr0QA5bTd7zNe6Ho3cGxxbF3aLV1r7ywluAo6TET4KxVBvunALd6uxWKJM4YBqG1AVoG7EqbGXSJ3o_EXv_XrwTRKE3eS819Qg/s320/images.jpg" border="0" /><br /> <span style="color:#33cc00;"> <span style="font-size:130%;">กรุงรัตนโกสินทร์ * หรือ "กรุงเทพมหานคร" เป็นราชธานีของไทย ตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับที่ตั้งของกรุงธนบุรี โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระนครขึ้น โดยทำพิธีตั้งเสาหลักเมืองของพระนครใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ เวลาย่ำรุ่งแล้ว 45 นาที ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325ทั้งนี้ ได้พระราชทานนามของพระนครว่า</span></span><span style="font-size:130%;"> <span style="color:#ff0000;">"กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมารอวตารสถิต สักกะทัตติยะ วิษณุกรรมประสิทธิ์"</span><span style="color:#33cc00;">แปลว่า พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร เป็นที่สถิตย์ของพระแก้วมรกต เป็นพระมหานครที่ไม่มีใครรบชนะ มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ไปด้วยแก้วเปราะน่ารื่นรมย์ยิ่ง พระราชนิเวศน์ใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานของเทพผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้พระวิษนุกรรมลงมาเนรมิตไว้ เรียกสั้นๆ ว่า "กรุงเทพฯ" "กรุงเทพมหานคร" หรือ "กรุงรัตนโกสินทร์" ซึ่งคำว่ากรุงเทพในตอนต้นชื่อนั้น สันนิษฐานว่ามากจากชื่อหน้าของ อยุธยา ว่า กรุงเทพ ทราราวดีศรีอยุธยา (ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแปลงสร้อยพระนามพระนครจาก "บวรรัตนโกสินทร์" เป็น "อมรรัตนโกสินทร์")สภาพภูมิประเทศของกรุงรัตนโกสินทร์นั้น กรุงตั้งอยู่บริเวณแหลมยื่นลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านลงมาจากทางเหนือ ผ่านทางตะวันตกและใต้ก่อนที่จะมุ่งลงใต้สู่อ่าวไทย ทำให้กรุงดูคล้ายกับกรุงศรีอยุธยา รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าให้ขุดคูพระนครตั้งแต่บางลำภูไปถึงวัดเลียบ ทำให้กรุงรัตนโกสินทร์มีสภาพเป็นเกาะสองชั้น คือส่วนที่เป็นพระบรมมหาราชวังกับส่วนระหว่างคูเมืองธนบุรี(คลองคูเมืองเดิม)กับคูพระนครใหม่ ในขณะเดียวกันได้มีการสร้างพระบรมมหาราชวังแบบง่ายๆเพื่อใช้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พอประกอบพิธีแล้วจึงรื้อของเก่าออกและก่ออิฐถือปูน ส่วนกำแพงพระนครนั้น นำอิฐจากกรุงศรีอยุธยามาใช้สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ถือว่ามีชัยภูมิชั้นเยี่ยมในการป้องกันศึกในสมัยนั้น คือพม่า ด้วยเนื่องจากมีแม่น้ำเจ้าพระยาขวางทางตะวันตก นอกจากนี้กรุงธนบุรีเดิมก็สามารถดัดแปลงเป็นค่ายรับศึกได้ แต่เหตุการณ์ที่พม่าเข้าเหยียบชานพระนครก็ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้ง เป็นที่สังเกตว่า การสร้างกรุงรัตนโกสินทร์นั้นเป็นการลงหลักปักฐานของคนไทยอย่างเป็นทางการหลังกรุงแตก เพราะมีการสร้างปราสาทราชมณเฑียรอย่างงดงามต่างจากสมัยธนบุรี ทั้งๆที่ขณะนั้นเกิดสงครามกับพม่าครั้งใหญ่กรุงรัตนโกสินทร์แล้วเสร็จจริงๆในปี พ.ศ. 2327 มีการสมโภชพระนครครั้งใหญ่ มีการลอกองค์ประกอบของกรุงศรีอยุธยามามากมาย เช่นวัดสุทัศน์แทนวัดพนัญเชิญ มีพระบรมมหาราชวังอยู่ริมน้ำ เป็นต้น</span> </span></div><div><span style="font-size:130%;"></span> </div><div><span style="font-size:130%;"> <span style="color:#cc33cc;">กรุงรัตนโกสินทร์ถูกสร้างต่อมาจนสมบูรณ์หมดจริงๆ ในช่วงรัชกาลที่ 3 และรัชกาลต่อมาจึงขยายพระนครการขยายพระนครนั้นเริ่มในสมัยรัชกาลที่4 เมื่อมีการขุดคลองผดุงกรุงเกษมขึ้น พร้อมสร้างป้อมแต่ไม่มีกำแพง นอกจากนี้ยังมีการตัดถนนเจริญกรุงและพระรามสี่หรือสมัยนั้นเรียกถนนตรง ทำให้ความเจริญออกไปพร้อมกับถนน สรุปได้ว่าในรัชกาลที่ 4 เมืองได้ขยายออกไปทางตะวันออก ในรัชกาลที่ 5 ความเจริญได้ตามถนนราชดำเนินไปทางเหนือพร้อมกับการสร้างพระราชวังดุสิตขึ้น กำแพงเมืองต่างๆเริ่มถูกรื้อเนื่องจากความเจริญและศึกต่างๆเริ่มไม่มีแล้วหลังจาก ร.ศ.112 ที่ฝรั่งเศสยกเรือรบมาถึงบางรัก ก็เป็นแค่ไม่กี่ครั้งที่ข้าศึกต่างชาติเข้าถึงชานพระนครได้ ความเจริญได้ตามไปพร้อมกับวังเจ้านายต่างๆนอกพระนคร ทุ่งต่างๆกลายเป็นเมือง และในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เกิดสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรก เป็นสะพานข้ามทางรถไฟชื่อสะพานพระรามหก จนถึงรัชกาลที่ 7 ฝั่งกรุงธนบุรีกับพระนครได้ถูกเชื่อมโดยสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ (สะพานพุทธ)ทำให้ประชาชนเกิดความสะดวกขึ้นมามาก หลังจากนั้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองในรัชกาลที่ 8 พระนครถูกโจมตีทางอากาศจากฝ่ายสัมพันธมิตรบ่อยครั้ง แต่พระบรมมหาราชวังปลอดภัยเนื่องจากทางเสรีไทยได้ระบุพิกัดพระบรมมหาราชวังมิให้มีการยิงระเบิด </span></span></div><div><span style="font-size:130%;"><span style="color:#cc33cc;">เมื่อสิ้นสงครามแล้วพระนครเริ่มพัฒนาแบบไม่หยุด เกิดการรวมจังหวัดต่างๆเข้าเป็นกรุงเทพมหานคร และได้เป็นเขตปกครองพิเศษหนึ่งในสองแห่งของประเทศไทยสภาพทางการเมืองในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น *ยังคงรูปแบบของระบบประชาธิปไตยอันเป็นระบบการปกครองที่สืบทอดมาช้านาน การเปลี่ยนแปลงภายในตัวระบบอยู่ที่การปรับบทบาทของสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ รูปแบบของสถาบ้นกษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คลายความเป็นเทวราชาลงเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็กลับเน้นคติและรูปแบบของธรรมราชาขึ้นแทนที่ อย่างไรก็ตาม อำนาจอันล้นพ้นของพระมหากษัตริย์ก็มีอยู่แต่ในทางทฤษฎี เพราะในทางปฏิบัติ พระราชอำนาจของพระองค์กลับถูกจำกัดลงด้วยคติธรรมในการปกครอง ซึ่งอิงหลักธรรมของพุทธศาสนา คือ ทศพิธราชธรรม กับอีกประการหนึ่ง คือ การถูกแบ่งพระราชอำนาจตามการจัดระเบียบควบคุมในระบบไพร่ ซึ่งถือกันว่า พระมหากษัตริย์คือมูลนายสูงสุดที่อยู่เหนือมูลนายทั้งปวง แต่ในทางปฏิบัติพระองค์ก็มิอาจจะควบคุมดูแลไพร่พลเป็นจำนวนมากได้ทั่วถึง จึงต้องแบ่งพระราชอำนาจในการบังคับบัญชากำลังคนให้กับมูลนายในระดับรองๆ ลงมา ในลักษณะเช่นนั้น มูลนายที่ได้รับมอบหมายให้กำกับไพร่และบริหารราชการแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณ จึงเป็นกลุ่มอำนาจมีอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกลุ่มใดจะมีอำนาจเหนือกลุ่มใดก็แล้วแต่สภาพแวดล้อมของสังคมในขณะนั้นเป็นสำคัญการปกครองและการบริหารประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น*กล่าวได้ว่า รูปแบบของการปกครอง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ยังคงยึดตามแบบฉบับที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงวางระเบียบไว้ จะมีการเปลี่ยนแปลงก็เพียงเล็กน้อย เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๑ โปรดฯ ให้คืนเขตการปกครองในหัวเมืองภาคใต้กลับให้สมุหกลาโหมตามเดิม ส่วนสมุหนายกให้ปกครองหัวเมืองทางเหนือ ส่วนพระคลังดูแลหัวเมืองชายทะเล ในด้านระบบการบริหาร ก็ยังคงมีอัครมหาเสนาบดี ๒ ฝ่าย คือ สมุหนายกเป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือน ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ และสมุหกลาโหม เป็นหัวหน้าราชการฝ่ายทหาร ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ตำแหน่งรองลงมาคือ เสนาบดีจตุสดมภ์ แบ่งตามชื่อกรมที่มีอยู่คือ เวียง วัง คลังและ นา</span> </span></div><div><span style="font-size:130%;"></span> </div><div><span style="font-size:130%;color:#3333ff;">ในบรรดาเสนาทั้ง ๔ กรมนี้ เสนาบดีกรมคลังจะมีบทบาทและภาระหน้าที่มากที่สุด คือนอกจากจะบริหารการคลังของประเทศแล้ว ยังมีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองชายทะเลตะวันออก เสนาบดีทั้งหลายมีอำนาจสั่งการภายในเขตความรับผิดชอบของตน รูปแบบที่ถือปฏิบัติก็คือ ส่งคำสั่งและรับรายงานจากเมืองในสังกัดของตน ถ้ามีเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น เสนาบดีเจ้าสังกัดจะเป็นแม่ทัพออกไปจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย มีศาลของตัวเองและสิทธิในการเก็บภาษีอากรในดินแดนสังกัดของตน รวมทั้งดูแลการลักเลขทะเบียนกำลังคนในสังกัดด้วยการบริหารในระดับต่ำลงมา*อาศัยรูปแบบการปกครองคนในระบบไพร่ คือ แบ่งฝ่ายงานออกเป็นกรมกองต่างๆ แต่ละกรมกอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการควบคุมกำลังคนในสังกัดของตน โครงสร้างของแต่ละกรม ประกอบด้วยขุนนางข้าราชการอย่างน้อย ๓ ตำแหน่ง คือ เจ้ากรม ปลัดกรม และสมุห์บัญชี กรมมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก กรมใหญ่มักเป็นกรมสำคัญ เจ้ากรมมีบรรดาศักดิ์ถึงขนาดเจ้าพระยาหรือพระยา กรมของเจ้านายที่มีความสำคัญมากที่สุด*ได้แก่ กรมของพระมหาอุปราช ซึ่งเรียกกันว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมของพระองค์มีไพร่พลขึ้นสังกัดมาก กรมของเจ้านายมิได้ทำหน้าที่บริหารราชการโดยตรง ถือเป็นกรมที่ควบคุมกำลังคนเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น การแต่งตั้งเจ้านายขึ้นทรงกรมจึงเป็นการให้ทั้งความสำคัญ เกียรติยศ และความมั่นคงเพราะไพร่พลในครอบครองเป็นเครื่องหมายแสดงถึงอำนาจและความมั่งคั่งของมูลนายผู้เป็นเจ้าของการบริหารราชการส่วนกลาง มีพระมหากษัตริย์เป็นมูลนายระดับสูงสุด เจ้านายกับขุนนางข้าราชการผู้บังคับบัญชากรมต่างๆ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ฐานะเป็นมูลนายในระดับสูง ช่วยบริหารราชการ โดยมีนายหมวด นายกอง เป็นมูลนายระดับล่างอยู่ใต้บังคับบัญชา และทำหน้าที่ควบคุมไพร่อีกต่อหนึ่ง การสั่งราชการจะผ่านลำดับชั้นของมูลนายลงมาจนถึงไพร่ สำหรับการปกครองในส่วนภูมิภาคหรือการปกครองหัวเมือง*ขึ้นอยู่กับอัครมหาเสนาบดี ๒ ท่าน และเสนาบดีคลัง ดังได้กล่าวไว้ข้างต้น หัวเมืองแบ่งออกเป็นสองชั้นใหญ่ๆ ได้แก่ หัวเมืองชั้นในและหัวเมืองชั้นอก การแบ่งหัวเมืองยังมีอีกวิธีหนึ่ง โดยแบ่งออกเป็น ๔ ขั้น คือ เอก โท ตรี จัตวา ตามความสำคัญทางยุทธศาสตร์และราษฎร หัวเมืองชั้นใน* เป็นหน่วยปกครองที่อยู่ใกล้เมืองหลวง มีเจ้าเมืองหรือผู้รั้ง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าปกครองดูแลหัวเมืองชั้นนอก* มีทั้งหัวเมืองใหญ่ หัวเมืองรอง และหัวเมืองชายแดน หัวเมืองเหล่านี้ อยู่ใต้การปกครองของเจ้าเมือง และข้าราชการในเมืองนั้นๆนโยบายที่ใช้ในการปกครองหัวเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น *มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อความกระชับยิ่งขึ้น กล่าวคือ รัชกาลที่ ๑ ได้ทรงออกพระราชกำหนดตัดทอนอำนาจเจ้าเมืองในการแต่งตั้งข้าราชการที่สำคัญๆ ทุกตำแหน่ง โดยโอนอำนาจการแต่งตั้งจากกรมเมืองในเมืองหลวง นับเป็นการขยายอำนาจของส่วนกลาง โดยอาศัยการสร้างความจงรักภักดีให้เกิดขึ้นกับเจ้านายทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งเจ้าเมือง และข้าราชการที่แต่งตั้งตนในส่วนกลาง ตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้ต้องรายงานตัวต่อผู้ตั้งทุกปี ทั้งนี้เพื่อผลในการควบคุมไพร่พลและเกณฑ์ไพร่มาใช้ เพราะฉะนั้น มูลนายในเมืองหลวงจึงได้ควบคุมสัสดีต่างจังหวัดอย่างใกล้ชิด ส่วนการปกครองในประเทศราช *เช่น ลาว เขมร มลายู นั้น ไทยใช้วิธีปกครองโดยทางอ้อม ส่วนใหญ่จะปลูกฝังความนิยมไทยลงในความรู้สึกของเจ้านายเมืองขึ้น โดยการนำเจ้านายจากประเทศราชมาอบรมเลี้ยงดูในฐานะพระราชบุตรบุญธรรมของพระมหากษัตริย์ในราชสำนักไทยหรือสนับสนุนให้มีการแต่งงานกันระหว่างเจ้านายทั้งสองฝ่าย และภายหลังก็ส่งเจ้านายพระองค์นั้นไปปกครองเมืองประเทศราช ด้วยวิธีนี้ จึงทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันกันขึ้นระหว่างกษัตริย์ไทยกับเจ้านายเมืองขึ้น การปกครอง หรือการขยายอำนาจอิทธิพลในอาณาจักรต่างๆ เหล่านี้ ฝ่ายไทยและประเทศราชไม่มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ขึ้นกับอำนาจความมั่นคงของราชอาณาจักรไทย เพราะฉะนั้น ในช่วงใดที่ประเทศอ่อนแอ เมืองขึ้นก็อาจแข็งเมืองหรือหันไปหาแหล่งอำนาจใหม่ เพราะฉะนั้น เมื่ออำนาจตะวันออกแผ่อิทธิพลเข้ามาในดินแดนเอเซียอาคเนย์ ปัญหาเรื่องอิทธิพลในเขตแดนต่างๆ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเวลาทำความตกลงกัน </span></div>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-84723559379354442372010-07-13T08:14:00.000-07:002010-07-13T08:36:03.512-07:00ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงธนบุรี<span style="font-size:180%;color:#ff0000;">ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงธนบุรี</span><br /><br /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2g_NJzXZkuNxr0Tn1_0YzDdNwYkfLNjdioQJ2CAz3TGGiyOOrlWavZ3Og3JFehzR7yCF7m8sWxW7qFa18Sp8zRQg_Sq7xfVf_BuE5IptvQgKgPowyKPTP26jFFsP9mNt48iGhR351rjM/s1600/imagesCARLQYTY.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5493409906759996002" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 157px; CURSOR: hand; HEIGHT: 95px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2g_NJzXZkuNxr0Tn1_0YzDdNwYkfLNjdioQJ2CAz3TGGiyOOrlWavZ3Og3JFehzR7yCF7m8sWxW7qFa18Sp8zRQg_Sq7xfVf_BuE5IptvQgKgPowyKPTP26jFFsP9mNt48iGhR351rjM/s320/imagesCARLQYTY.jpg" border="0" /></a> <span style="font-size:130%;color:#33ff33;">สภาพทั่วไปก่อนการก่อตั้งกรุงธนบุรี กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทยอยู่ 417 ปี (พ.ศ.1893-2310) ในระยะเวลาอันยาวนานนี้กรุงศรีอยุธยาได้ก้าวจากการเป็นอาณาจักรเล็กๆ มาเป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ ตลอดจนศาสนา วัฒนธรรม ศิลปกรรมต่างๆ ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมลงตามลำดับตั้งแต่ต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง เกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันขึ้นระหว่างพระราชวงศ์และขุนนาง เจ้านายและขุนนางชั้นผู้ใหญ่แตกความสามัคคีแย่งชิงอำนาจกันเอง ทำให้กำลังทหารแยกออกเป็นกลุ่มๆ ยิ่งบ้านเมืองว่างศึกสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านมาเป็นเวลานาน กองทัพก็ไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะสู้รบ พระมหากษัตริย์เองโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าเอกทัศ ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา ก็ไม่ทรงพระปรีชาสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน ในขณะที่ศัตรูของไทยคือ พม่ามีกำลังและอำนาจมากขึ้นภายใต้พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์อลองพญา</span><br /><span style="font-size:130%;"><br /></span><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><span style="font-size:130%;"><br /></span><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><span style="font-size:130%;"><br /></span><br /><p><span style="font-size:130%;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5493410348382253042" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 106px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdi1vXLoJBNTy6C0DCbBj8oCVYG1MrT6MAjBUrxg6PCwGT3j5ueqK16588SedqW4re5AbZXI1wzB3YcCiSpVxwTl3RX5I4vYeJHcB45KpYQXZ4wiWi51CRkvL8L7xOIRqww5uG5czxD5o/s320/imagesCACN4ZRO.jpg" border="0" /> <span style="color:#3333ff;">ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2310 ได้เกิดมีการกบฏขึ้นในหัวเมืองมอญ พม่าได้ยกกองทัพเข้าตีหัวเมืองมอญที่เมืองมะริดและตะนาวศรี แล้วเคลื่อนทัพเข้ามาในดินแดนไทยทางด่านสิงขรโดยปราศจาการต่อต้านจากฝ่ายไทย จนสามารถเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาได้ ถ้าจะวิเคราะห์สงครามครั้งนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ของพม่าแต่เดิมนั้น เพียงเพื่อต้องการปราบปรามพวกกบฏชาวมอญ ซึ่งหนีมาอยู่ที่เมืองมะริดและตะนาวศรีเท่านั้น ยังมิได้ตั้งใจจะเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา แต่เมื่อพม่าสามารถตีเมืองมะริดและตะนาวศรีได้อย่างง่ายดาย โดยฝ่ายไทยมิได้เตรียมการต่อสู้แต่อย่างใดแสดงถึงความอ่อนแอของไทย พม่าจึงตีหัวเมืองไทยต่อเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงราชธานี ในการรับศึกพม่าครั้งนี้ พระเจ้าเอกทัศมิได้ทรงแสดงความสามารถในด้านการบัญชาการรบเลย ส่วนแม่ทัพนายกองของไทยก็อ่อนแอไม่สามารถต้านทานทัพพม่าได้ แม่ทัพนายกองที่มีความสามารถมีความรักชาติบ้านเมือง ก็ไม่ได้รับความสะดวกในการสู้รบจึงเกิดความท้อถอย ดังเช่นพระยากตาก (สิน) ถึงกับตัดสินใจนำทหารประมาณ 500 คน ตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกไปทางทิศตะวันออกเพื่อรวบรวมกำลังมาต่อสู้พม่า ในที่สุดกรุงศรีอยุธยาต้องสูญเสียเอกราชแก่พม่าเป็นครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2310 ซึ่งพม่ามารบพุ่งอย่างโจร เพราะพม่าไม่ได้คิดจะรักษาเมืองไทยไว้เป็นเมืองขึ้น หากแต่ต้องการจะริบเอาทรัพย์สมบัติและกวาดต้อนผู้คนเป็นเชลยไปใช้สอยในเมืองพม่า ด้วยเหตุนี้ เมื่อพม่าตีเมืองไหนได้ก็เผาเสียทั้งเมืองน้อยเมืองใหญ่ตลอดจนราชธานี แล้วเลิกทัพกลับไป ดังนั้นการเสียกรุงครั้งที่ 2 นี้ บ้านเมืองจึงยับเยินยิ่งกว่าในสมัยเสียกรุงครั้งแรก ฝ่ายหัวเมืองต่างๆ ที่มิได้ถูกพม่าย่ำยี ก็ถือโอกาสตั้งตนเป็นอิสระถึง 5 ชุมนุม คือ ชุมนุมเจ้าพิมาย ชุมนุมเจ้าพระฝาง ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราชและชุมนุมพระยาตาก (หรือพระยาวชิรปราการ) พระยาตากได้รวบรวมสมัครพรรคพวก ทำการสู้รบขับไล่พม่า จนกระทั่งสามารถกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้ แต่สภาพกรุงศรีอยุธยาทรุดโทรมมาก ยากแก่การบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ พระยาตากจึงเลือกกรุงธนบุรีเป็นราชธานีแทนกรุงศรีอยุธยา</span></span></p><span style="font-size:130%;"><br /></span><br /><p><span style="font-size:130%;"></span></p><span style="font-size:130%;"><br /></span><br /><p><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ffff00;">+++ การสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี</span> </span></p><span style="font-size:130%;"><br /></span><br /><p><span style="font-size:130%;color:#cc33cc;">หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสามารถกู้เอกราชคืนมาจากพม่าแล้ว สภาพบ้านเมืองของกรุงศรีอยุธยาทุดโทรมมาก ไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นเมืองหลวงอีกต่อไป เพราะ ...... </span></p><span style="color:#cc33cc;"><br /><span style="font-size:130%;"></span></span><br /><p><span style="font-size:130%;color:#cc33cc;">1. กรุงศรีอยุธยาถูกทำลายชำรุดทรุดโทรมมาก ยากแก่การบูรณะให้ดีดังเดิมได้ </span></p><span style="color:#cc33cc;"><br /><span style="font-size:130%;"></span></span><br /><p><span style="font-size:130%;color:#cc33cc;">2. กรุงศรีอยุธยามีบริเวณกว้างขวางมาก เกินกว่ากำลังของพระองค์ที่มีอยู่ เพราะผู้คนอาศัยอยู่ตามเมืองน้อย ส่วนมากหลบหนีพม่าไปอยู่ตามป่า จึงยากแก่การรักษาบ้านเมืองได้สะดวกและปลอดภัย </span></p><span style="color:#cc33cc;"><br /><span style="font-size:130%;"></span></span><br /><p><span style="font-size:130%;color:#cc33cc;">3. ข้าศึกโดยเฉพาะพม่ารู้ลู่ทางภูมิประเทศและจุดอ่อนของกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างดี ทำให้ไทยเสียเปรียบในด้านการรบ </span></p><span style="color:#cc33cc;"><br /><span style="font-size:130%;"></span></span><br /><p><span style="font-size:130%;color:#cc33cc;">4. ที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาเป็นอันตรายทั้งทางบกและทางน้ำ ข้าศึกสามารถโจมตีได้สะดวก </span></p><span style="color:#cc33cc;"><br /><span style="font-size:130%;"></span></span><br /><p><span style="font-size:130%;color:#cc33cc;">5. กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ห่างจากปากแม่น้ำมากเกินไป ทำให้ไม่สะดวกในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ซึ่งนับวันจะเจริญขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงทรงตัดสินใจเลือกเอากรุงธนบุรีเป็นราชธานีด้วยสาเหตุสำคัญต่อไปนี้ </span></p><span style="font-size:130%;"><br /></span><br /><p><span style="font-size:130%;color:#33cc00;">1. กรุงธนบุรีเป็นเมืองขนาดเล็ก เหมาะสมกับกำลังป้องกันทั้งทางบกและทางน้ำ </span></p><span style="color:#33cc00;"><br /><span style="font-size:130%;"></span></span><br /><p><span style="font-size:130%;color:#33cc00;">2. กรุงธนบุรีตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา สะดวกในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ </span></p><span style="color:#33cc00;"><br /><span style="font-size:130%;"></span></span><br /><p><span style="font-size:130%;color:#33cc00;">3. สะดวกในการควบคุมการลำเลียงอาวุธและเสบียงต่างๆ ไปตามหัวเมืองหรือจากหัวเมืองเข้ามาช่วย เมื่อเกิดศึกสงคราม </span></p><span style="color:#33cc00;"><br /><span style="font-size:130%;"></span></span><br /><p><span style="font-size:130%;color:#33cc00;">4. ถ้าหากข้าศึกยกกำลังมามากเกินกว่ากำลังของทางกรุงธนบุรีจะต้านทานได้ก็สามารถย้ายไปตั้งมั่นที่จันทบุรีได้ โดยอาศัยทางเรือได้อย่างปลอดภัย </span></p><span style="color:#33cc00;"><br /><span style="font-size:130%;"></span></span><br /><p><span style="font-size:130%;color:#33cc00;">5.กรุงธนบุรีมีป้อมปราการอยู่ทั้งสองฟากแม่น้ำ ที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชหลงเหลืออยู่ สามารถใช้ในการป้องกันข้าศึกได้บ้างที่จะเข้ามารุกรานโดยยกกำลังมาทางเรือ คือ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ และป้อมวิไชเยนทร์</span></p><span style="font-size:130%;"><br /></span><br /><p><span style="font-size:130%;"></span></p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVNdHjBJ77VHybfdH2SwDY6M-nyeLXBL1K7PNFLN0UotsjqFuHyRicLjUsXWvl-9yncinY8IjfQ-yDzLKVnQSM3lKcLHsaaF67mp1R8qBeOzBrTbZRWZCZkGV4qmmnh9tE6kLpgelgSXE/s1600/imagesCAAX3P5M.jpg"><span style="font-size:130%;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5493411210299846690" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 154px; CURSOR: hand; HEIGHT: 121px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVNdHjBJ77VHybfdH2SwDY6M-nyeLXBL1K7PNFLN0UotsjqFuHyRicLjUsXWvl-9yncinY8IjfQ-yDzLKVnQSM3lKcLHsaaF67mp1R8qBeOzBrTbZRWZCZkGV4qmmnh9tE6kLpgelgSXE/s320/imagesCAAX3P5M.jpg" border="0" /></span></a><span style="font-size:130%;"> <span style="color:#ff6600;">+++ การรวบรวมอาณาเขต</span> </span><br /><span style="font-size:130%;color:#6633ff;">เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าใน พ.ศ. 2310 บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายแตกสาแหรกขาด ผู้คนพากันหลบหนีเอาชีวิตรอด เกิดข้าวยากหมากแพง ผู้คนที่รอดพ้นจากการจับกุมและไม่ถูกกวาดต้อนไปยังพม่า ได้พยายามรักษาตัวรอด โดยการซ่องสุมผู้คนขึ้นตั้งกันเป็นก๊กเป็นเหล่า ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ชุมนุม ได้แก่ </span><br /><span style="font-size:130%;color:#6633ff;">1. ชุมนุมเจ้าพิมาย ตั้งอยู่ที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมาในปัจจุบัน หัวหน้าคือ กรมหมื่นเทพพิพิธ โอรสสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เจ้าเมืองพิมายมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์บ้านพลูหลวง จึงได้สนับสนุนขึ้นเป็นใหญ่ </span><br /><span style="font-size:130%;color:#6633ff;">2. ชุมนุมเจ้าพระฝาง ตั้งอยู่ที่สวางคบุรี ทางเหนือของจังหวัดอุตรดิตถ์ มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองพิชัยไปจนถึงเมืองแพร่ เจ้าพระฝาง (เรือน) เป็นสังฆราชเมืองสวางคบุรี มีความสามารถทางคาถาอาคม จึงตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ทั้งที่อยู่ในสมณเพศ (แต่ใช้ผ้าแดงนุ่งห่มแทนผ้าเหลือง) </span><br /><span style="font-size:130%;color:#6633ff;">3. ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ตั้งอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) เป็นหัวหน้า เป็นชุมนุมที่สำคัญทางเหนือ มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองพิชัย ลงมาถึงนครสวรรค์ เจ้าพระยาพิษณุโลกเป็นขุนนางใหญ่ที่มีความสามารถในด้านการปกครองและการรบ พวกขุนนางที่หลบหนีพม่าออกจากรุงศรีอยุธยาได้ไปสมทบกับชุมนุมนี้เป็นอันมาก ต่อมาถึงแก่พิราลัย หัวหน้าชุมนุมคนต่อมา คือ พระอินทร์อากร </span><br /><span style="font-size:130%;color:#6633ff;">4. ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หัวหน้าคือ เจ้านครศรีธรรมราช (หนู) หรือหลวงสิทธินายเวร มีอาณาเขตตั้งแต่หัวเมืองมลายูขึ้นมาถึงเมืองชุมพร </span><br /><span style="font-size:130%;color:#6633ff;">5. ชุมนุมพระยาตาก ตั้งอยู่บริเวณหัวเมืองชายทะเลทางฝั่งตะวันออก เมื่อพม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา ได้พยายามป้องกันรักษาบ้านเมืองอย่างเต็มที่ แต่สถานการณ์ของกรุงศรีอยุธยาขณะนั้นคับขันมาก ทำให้พระยาตากรวบรวมสมัครพรรคพวกไทย-จีน ประมาณ 500 คน ตีฝ่ากองทัพพม่าออกจากเมืองในเดือนยี่(มกราคม) พ.ศ.2309 เพื่อที่จะรวบรวมผู้คนมาสู้รบกับพม่าในตอนหลัง </span><br /><span style="font-size:130%;color:#6633ff;"></span><br /><span style="font-size:130%;color:#6633ff;"> ต่อมาใน พ.ศ. 2323 เกิดการกบฏในเขมร พวกกบฏจับพระรามราชาและพระนารายณ์ราชาปลงพระชนม์ทั้งสองพระองค์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ไปปราบการจลาจลได้สำเร็จ และโปรดเกล้าฯ ให้นักองเองซึ่งเป็นโอรสของพระนารายณ์ราชาได้ขึ้นครองราชสมบัติแทน แต่เนื่องจากยังทรงพระเยาว์ จึงมีฟ้าทะละหะ (มู) เป็นผู้สำเร็จราชการแทน เขมรจึงหันไปพึงญวนอีกครั้งหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปปราบเขมร ขณะที่กองทัพไทยจะรบกับเขมรอยู่นั้น ก็มีข่าวว่าทางกรุงธนบุรีเกิดจลาจลวุ่นวาย ด้วยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเสียพระสติ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงต้องรีบยกทัพกลับ</span><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><span style="font-size:130%;"> <span style="color:#33ffff;"> การขยายอำนาจไปลาว ในสมัยกรุงธนบุรีไทยได้ทำศึกขยายอำนาจไปยังลาว 2 ครั้ง คือ 2.1 การตีเมืองจำปาศักดิ์ เพราะเจ้าเมืองนางรองเกิดขัดใจกับเจ้าเมืองนครราชสีมา จึงคิดกบฏต่อไทยไปขอขึ้นกับเจ้าโอ (หรือเจ้าโอ้) สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรดให้เจ้าพระยาจักรีไปปราบ จับเจ้าเมืองนางรองประหารชีวิต ทำให้เมืองจำปาศักดิ์และดินแดนลาวตอนล่างอยู่ภายใต้อำนาจของไทย ใน พ.ศ.2319 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงแต่งตั้งเจ้าพระยาจักรี เป็น “สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกพิลึกมหิมา ทุกนัคราระอาเดช นเรศราชสุริยวงศ์” นับว่าเป็นการพระราชทานยศให้แก่ขุนนางสูงที่สุดเท่าที่เคยมีปรากฏมาในสมัยนั้น </span></span><br /><span style="font-size:130%;color:#33ffff;">2.2 การตีเวียงจันทน์ มีสาเหตุมาจากพระวอเสนาบดีของเจ้าสิริบุญสารเกิดวิวาทกับเจ้าครองนครเวียงจันทน์ พระวอจึงหนีเข้ามาอยู่ที่ตำบลดอนมดแดง (ในจังหวัดอุบลราชธานี) ขอสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เจ้าสิริบุญสารได้ส่งกองทัพมาปราบและจับพระวอฆ่าเสีย ใน พ.ศ.2321 สมเด็จพระเจ้าตากสินมาหาราชจึงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ยกกองทัพไปปราบ ขณะที่ไทยยกทัพไป เจ้าร่มขาวเจ้าผู้ครองเมืองหลวงพระบางมาขอสวามิภักดิ์ต่อไทยและส่งกองทัพมาช่วยตีเมืองเวียงจันทน์ด้วย เจ้าสิริบุญสารสู้ไม่ได้จึงหลบหนีไป เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตพร้อมทั้งพระบางมาไว้ที่ไทยด้วย (ส่วนพระบางนั้น ต่อมาไทยคืนให้แก่ลาวในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช)ความเจริญทางด้านต่างๆ ในสมัยธนบุรี และการติดต่อกับต่างประเทศ</span><br /><span style="font-size:130%;color:#33ffff;"></span><br /><span style="font-size:130%;"> <span style="color:#ffcc00;">ตลอดระยะเวลา 15 ปี ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการต่อสู้ปราบปราม ป้องกันและขยายอาณาเขตของประเทศ จึงไม่ค่อยมีเวลาจะที่จะพัฒนาประเทศทางด้านอื่นมากนัก แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงพยายามสร้างความเจริญให้แก่ประเทศในด้านต่างๆ ดังนี้</span></span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;"></span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;">1. ด้านการปกครอง ลักษณะการปกครองของกรุงธนบุรี ดำเนินรอยตามแบบแผนของสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยแบ่งการปกครองออกเป็น</span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;"></span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;">2. ด้านกฎหมายและการศาล กฎหมายและวิธีพิจารณาคดีความในศาลสมัยธนบุรี ใช้ตามแบบสมัยอยุธยาเท่าที่มีหลักฐานปรากฏอยู่มีเพียงฉบับเดียว เกี่ยวกับการสักเลก คือ การลงทะเบียนชายฉกรรจ์เพื่อรับใช้ในราชการ เรียกว่า ไพร่หลวง การสักเลกในสมัยนั้นสำคัญมาก เพราะเป็นระยะเวลาของการป้องกันและแผ่อำนาจเพื่อให้ประเทศชาติมั่นคง ส่วนการศาลมักใช้บ้านของเจ้านาย บ้านของตุลาการ บางครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงเป็นผู้พิพากษาคดีเอง และทรงใช้ศาลทหารและพระบรมราชโองการเป็นกฎหมายใช้ในการตัดสินคดีความด้วย </span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;"></span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;">3. ด้านเศรษฐกิจ หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าแล้ว สภาพเศรษฐกิจของไทยตกต่ำมากประชาชนยากจนอัตคัดฝืดเคือง อาหารหายากและราคาแพง เนื่องจากในขณะที่เกิดศึกสงครามผู้คนต่างพากันหนีเอาตัวรอด การทำไร่ทำนาต้องหยุดชะงักลง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในระยะที่ตั้งกรุงธนบุรีใหม่ๆ ด้วยการจ่ายพระราชทรัพย์ซื้อข้าวจากพ่อค้าต่างประเทศในราคาสูงเพื่อแจกจ่ายประชาชน และชักชวนให้ราษฎรกลับมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามเมืองต่างๆ ทำมาหากินดังแต่ก่อน นอกจากนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ยังส่งเสริมทางด้านการค้าขาย มีการส่งเรือสำเภาไปค้าขายยังประเทศ อินเดียและประเทศใกล้เคียง สำหรับสิ่งของที่บรรทุกเรือสำเภาหลวงไปขาย เช่น ดีบุก พริกไทย ครั่ง ขี้ผึ้ง ไม้หอม ฯลฯ และเมื่อขายสินค้าหมดแล้วก็จะซื้อสินค้าต่างประเทศที่ต้องการใช้ในประเทศ เช่น ผ้าลายและถ้วยชามมาขายให้แก่ประชาชนอีกต่อหนึ่ง ซึ่งการค้าขายนี้เป็นแบบเดียวกับสมัยอยุธยา คือ อยู่ภายใต้การดูแลของพระคลังสินค้า หรือกรมาท่า มีการส่งเสริมให้ราษฎรทำการเพาะปลูก ทำให้เศรษฐกิจของประเทศค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ</span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;"></span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;">4. ด้านสังคม สังคมไทยสมัยกรุงธนบุรีมีการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพราะมีการทำศึกกับพม่าบ่อยครั้ง มีการสักเลกบอกชื่อสังกัดมูลนายและเมืองไว้ที่ข้อมือไพร่หลวงทุกคน ซึ่งมีหน้าที่รับใช้ราชการปีละ 6 เดือน โดยการมารับราชการ 1 เดือน แล้วหยุดไปทำมาหากินของตนอีก 1 เดือนสลับกันไป เรียกว่า “การเข้าเดือนออกเดือน” ไพร่หลวงอีกพวกหนึ่ง เรียกว่า “ไพร่ส่วย” คือ ไพร่หลวงที่ส่งสิ่งของแทนการใช้แรงงานแก่ราชการ ซึ่งเป็นพวกที่รับใช้แต่เฉพาะเจ้านายที่เป็นขุนนาง </span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;"></span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;">5. ด้านการศึกษา แม้ว่าบ้านเมืองจะอยู่ในภาวะสงคราม แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงทะนุบำรุงการศึกษาอยู่เสมอ ศูนย์กลางการศึกษาในสมัยธนบุรีอยู่ที่วัด เด็กผู้ชายเมื่อมีอายุพอสมควร พ่อแม่มักเอาไปฝากกับพระ เมื่อมีเวลาว่างพระก็จะสอนให้อ่านเขียน หนังสือแบบเรียนที่ใช้คือหนังสือจินดามณี เมื่ออ่านออกเขียนได้แล้ว ก็เรียนแต่งร้อยแก้ว โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ศึกษาศัพท์ เขมร บาลี สันสกฤต วิชาเลข เรียนมาตราไทย ชั่ง ตวง วัด มาตราเงินไทย คิดหน้าไม้ (วิธีการคำนวณหาจำนวนเนื้อไม้เป็นยก หรือเป็นลูกบาศก์) การศึกษาด้านอาชีพ พ่อแม่มีอาชีพอะไรก็มักฝึกให้ลูกหลานมีอาชีพตามตนเอง โดยฝึกฝนตกทอดกันมาหลายชั่วอายุคน เช่น วิชาช่างและแกะสลัก ช่างปั้น ช่างถม แพทย์แผนโบราณ ฯลฯ</span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;"></span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;">6. ด้านศาสนา เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 สิ่งสำคัญต่างๆ ในพระพุทธศาสนาถูกทำลายเสียหายมาก หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงย้ายเมืองหลวงมายังกรุงธนบุรี พระองค์ได้ฟื้นฟูศาสนาขึ้นใหม่โดยชำระความบริสุทธิ์ของพระสงฆ์ พระสงฆ์รูปใดที่ประพฤติไม่อยู่ในพระวินัยก็ให้สึกออกไปเสีย พระสงฆ์รูปใดประพฤติอยู่ในพระวินัยทรงอาราธนาให้บวชเรียนต่อไป นอกจากนี้ พระองค์ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการสร้างพระอุโบสถ วิหาร เสาสนะ กุฏิสงฆ์และวัดวาอารามต่างๆ เช่น วันบางยี่เหนือเหนือ (วัดราชคฤห์) วัดบางยี่เรือใต้ (วัดอินทาราม) วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆษิตาราม) วัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) วัดหงส์ (วัดหงส์รัตนาราม) เป็นต้น<br /></span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;">7. ด้านศิลปะและวรรณกรรม สมัยกรุงธนบุรีด้านศิลปะมีไม่ค่อยมากนัก เพราะบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงให้มีการละเล่น เพื่อเป็นการบำรุงขวัญประชาชน ให้หายจากความหวาดกลัวและลืมความทุกข์ยาก มีขบวนแห่อัญเชิญและสมโภชพระแก้วมรกตเป็นเวลา 7 วัน การประชันละครระหว่างละครผู้หญิงของเจ้านครศรีธรรมราช และละครหลวง</span><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcc00;"></span><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;"> +++ ในสมัยธนบุรีประเทศไทยมีการติดต่อกับประเทศตะวันตก ดังนี้ </span> </span><br /><span style="font-size:130%;color:#cc66cc;">1. ฮอลันดา ใน พ.ศ. 2313 ฮอลันดาจากเมืองปัตตาเวีย (จาการ์ตา) ซึ่งเป็นสถานีการค้าของฮอลันดา และแขกเมืองตรังกานูได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อถวายปืนคาบศิลา จำนวน 2,200 กระบอก และถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองด้วย </span><br /><span style="font-size:130%;color:#cc66cc;">2. อังกฤษ ใน พ.ศ.2319 กัปตันฟรานซิส ไลท์ ได้นำปืนนกสับ จำนวน 1,400 กระบอกและสิ่งของอื่นๆ เข้ามาถวายเพื่อเป็นการสร้างสัมพันธไมตรี </span><br /><span style="font-size:130%;color:#cc66cc;">3. โปรตุเกส ใน พ.ศ. 2322 แขกมัวร์จากเมืองสุรัต ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส นำสินค้าเข้ามาค้าขายในกรุงธนบุรี และไทยได้ส่งสำเภาหลวงไปค้าขายยังประเทศอินเดีย<br />เหตุการณ์ตอนปลายสมัยธนบุรี </span><br /><span style="font-size:130%;color:#cc66cc;"> </span><br /><span style="font-size:130%;"> <span style="color:#33cc00;">ในปลายรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ บันทึกไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระสติฟั่นเฟือนไป เข้าพระทัยว่าทรงบรรลุโสดาบัน และจะให้พระสงฆ์กราบไหว้พระองค์ซึ่งเป็นคฤหัสถ์ ราษฎรได้รับความเดือดร้อนทั่วแผ่นดินจากข้าราชการที่ทุจริตกดขึ่ข่มเหงหาประโยชน์ส่วนตัว เป็นเหตุทำให้เกิดจลาจลขึ้นในกรุงธนบุรี ราษฎรต่างทิ้งบ้านเรือนหนีเข้าป่าไปเป็นอันมาก </span></span><br /><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"> ขณะเดียวกันก็เกิดกบฏขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทราบข่าวกบฏ จึงสั่งพระยาสรรค์ขึ้นไปสอบสวน แต่พระยาสรรค์กลับไปเข้าพวกกบฏ ยกพวกเข้าปล้นพระราชวังที่กรุงธนบุรี ในเดือนเมษายน 2324 บังคับให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชออกผนวชและคุมพระองค์ไว้ที่พระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม และพระยาสรรค์ก็ตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทน </span><br /><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"> ส่วนสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กำลังจะยกทัพไปตีเมืองเสียมราฐ เมื่อทราบข่าวเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี จึงรีบยกทัพกลับขณะนั้นเป็นเดือนเมษายน 2325 เมื่อมาถึงกรุงธนบุรี พระองค์ได้ซักถามเรื่องราวความยุ่งยากที่เกิดขึ้น จึงให้ประชุมข้าราชการ ปรากฏว่าที่ประชุมลงความเห็นว่าให้สำเร็จโทษพระเจ้าตากสินมหาราช ขณะนั้นทรงมีพระชนม์ 48 พรรษา รวมเวลาครองราชย์ 15 ปี </span><br /><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"> ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงตรากตรำในการสู้รบ เพื่อรักษาและขยายของเขตแผ่นดินโดยมิได้ว่างเว้น จนสามารถขยายเป็นอาณาจักรใหญ่ในแหลมทองนี้ได้ พระองค์ทรงเป็นนักรบ มิได้ทรงมีโอกาสแม้แต่จะเสวยสุขสงบในบั้นปลายพระชนม์ชีพ เพราะได้เกิดกบฏพระยาสรรค์ขึ้นก่อน บ้านเมืองวุ่นวาย จนเป็นเหตุให้ทรงถูกสำเร็จโทษดังที่กรมหลวงนรินทรเทวีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุความทรงจำของท่านว่า “เมื่อต้นแผ่นดินเย็นด้วยพระบารมี ชุ่มพื้นชื่นผลจนมีแท่น ปลายแผ่นดินแสนร้อย รุมสุมรากโคนโค่นล้มถมแผ่นดิน ด้วยสิ้นพระบารมีแต่เพียงนั้น”<br /><br /> </span><br /><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"></span><br /><p><span style="color:#33cc00;"><br /><span style="font-size:130%;"></span></span></p><span style="color:#33cc00;"><br /><span style="font-size:130%;"></span></span><br /><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"></span><br /><span style="color:#33cc00;"><br /><br /><span style="font-size:130%;"></span></span><br /><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"></span><br /><span style="font-size:130%;"></span>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-90661175811322721422010-06-25T09:08:00.000-07:002010-06-25T09:10:49.983-07:00Malaysia<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEE54zWNH03sJDgHScv2lAn7hfQgn8jOXOcoPO1D3pTwjMeaoOYjRRTrzSC4TwSVBFgmo15QBkimprAPin66N_zTwxG488E1Kj-WbLSnTrrcM0DI-xwrsoowdH2sA-dQSfoVfdxPvbkU0/s1600/8.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5486744434116455890" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEE54zWNH03sJDgHScv2lAn7hfQgn8jOXOcoPO1D3pTwjMeaoOYjRRTrzSC4TwSVBFgmo15QBkimprAPin66N_zTwxG488E1Kj-WbLSnTrrcM0DI-xwrsoowdH2sA-dQSfoVfdxPvbkU0/s320/8.JPG" border="0" /></a><br /><div></div>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-5420669083453864482010-06-05T09:26:00.000-07:002010-06-05T09:27:16.526-07:00แบบทดสอบ เรื่อง อยุธยา<a href="http://quickr.me/9JMzmH4">http://quickr.me/9JMzmH4</a>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-52242994931558678792010-05-29T20:39:00.000-07:002010-05-29T21:20:18.728-07:00การปกครองสมัยอยุธยา<span style="font-size:180%;"><br /></span><div><div><div><div><div><span style="font-size:180%;color:#ffff00;">« รูปแบบการปกครองสมัยอยุธยา »</span> </div></div><br /><p> <span style="color:#339999;">รูปแบบการปกครองสมั</span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIcXiTUbOZo8nepbKxeD8boQhatvrMUG2zaeZWCHx-4n_yQyBGRiUJmOP6vvUOWLmyrEB1ar9oRiGXsK_lI4AtomXsmdcNsyJy_WZuFmzxUz5zVUEstfm4lmQDCxCYwhd1oKkZGlkuyho/s1600/images4.jpg"></a><span style="color:#339999;">ยอยุธยานั้นแบ่งได้ 3 ระยะตามลักษณะการปกครอง คือ การปกครองสมัยอยุธยาตอนต้น อยุธยาตอนกลาง อยุธยาตอนปลาย </span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhnVQuOFtZbNqSJIi9sJZlHCDLWavbjdVlGfKd6jzOw0-y5HslnRgWsRVzZgP7mOnBu3n04X0nfU_X3GM9_BV-XLxGCm1lg1cEwn1YovyGW_vCUhyphenhyphenNxOy7KZZq9dZ6yzgSZ-hF6ZyZUXUA/s1600/imagesCALAQ593.jpg"><span style="color:#339999;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5476911470050364114" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 135px; CURSOR: hand; HEIGHT: 101px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhnVQuOFtZbNqSJIi9sJZlHCDLWavbjdVlGfKd6jzOw0-y5HslnRgWsRVzZgP7mOnBu3n04X0nfU_X3GM9_BV-XLxGCm1lg1cEwn1YovyGW_vCUhyphenhyphenNxOy7KZZq9dZ6yzgSZ-hF6ZyZUXUA/s320/imagesCALAQ593.jpg" border="0" /></span></a><br /><span style="color:#339999;">การปกครองสมัยอยุธยาตอนต้น มีลักษณะดังนี้<br />การปกครองระยะนี้เริ่มเมื่อ (พ.ศ.1893-1991 )สมัยพระเจ้าอู่ทองถึงสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 แบ่งการปกครองได้ 2 ส่วน</span></p><br /><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXUFCGoeRL5R2apZ0HBbVxuDzdoNfTwwn69O5ktHWzbbRRl8SbRCuNKc4vHwRsEY5jOj5rWKymzc6YcYSyqOMs5d0CH6PbFEFmrkHn7uKJOyycekDPPIh8BimlaayxeNOc86suKYh4EDU/s1600/images5.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5476909566764668210" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 84px; CURSOR: hand; HEIGHT: 155px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXUFCGoeRL5R2apZ0HBbVxuDzdoNfTwwn69O5ktHWzbbRRl8SbRCuNKc4vHwRsEY5jOj5rWKymzc6YcYSyqOMs5d0CH6PbFEFmrkHn7uKJOyycekDPPIh8BimlaayxeNOc86suKYh4EDU/s320/images5.jpg" border="0" /></a></p><br /><p><span style="color:#ff6600;">ส่วนที่ 1) การปกครองส่วนกลาง การปกครองในเขตราชธานี และบริเวณโดยรอบราชธานีโดยได้จัดรูปแบบการปกครองแบบเขมร จัดหน่วยการปกครองเป็น 4 หน่วย แต่ละหน่วยมีเสนาบดีบริหารงาน ได้แก่ กรมเวียง (ดูแลในเขตเมืองหลวง) กรมวัง(ดูแลพระราชสำนักและพิจารณาคดี) กรมคลัง(ดูแลพระราชทรัพย์) กรมนา (จัดเก็บภาษีและจัดหาเสบียงสำหรับกองทัพ) </span></p><p><span style="color:#cc33cc;">ส่วนที่ 2) การปกครองส่วนหัวเมือง แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ</span></p><p><span style="color:#cc33cc;"> 1. เมืองลูกหลวง หรือเมืองหน้าด่าน ตั้งอยู่รอบราชธานี 4 ทิศ เช่น ลพบุรี นครนายก พระประแดง สุพรรณบุรี ให้โอรสหรือพระราชวงศ์ชั้นสูงไปปกครอง </span></p><p><span style="color:#cc33cc;"> 2. หัวเมืองชั้นใน อยู่ถัดจากเมืองลูกหลวงออกไป ได้แก่ พรหมบุรี สิงห์บุรี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตะนาวศรี ไชยา นครศรีธรรมราช ให้ขุนนางที่กษัตริย์แต่งตั้งไปปกครอง </span></p><p><span style="color:#cc33cc;"> 3.หัวเมืองชั้นนอก หรือหัวเมืองพระยามหานครคือหัวเมืองขนาดใหญ่ห่างจากราชธานีผู้ปกครองสืบเชื้อสายมาจากเจ้าเมืองเดิมหรือตัวแทนที่ราชธานีส่งมาปกครอง </span></p><p><span style="color:#cc33cc;"> 4. เมืองประเทศราช เป็นเมืองที่ยังได้ปกครองตนเองเพราะอยู่ไกลที่สุด มีความเป็นอิสระเหมือนเดิมแต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการตามกำหนดส่งกองทัพมาช่วยเวลาสงคราม เช่นสุโขทัย เขมร เป็นต้น </span></p><br /><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5476909719950386658" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 130px; CURSOR: hand; HEIGHT: 74px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1__WXgJY2cfTK7hcJPw2Ta8UuTqBRBp-wq2W4PZocZQ_HceJYGibZhTyVFpSjpqywNZg4oeVB3OB_Up-q6xCR4IQegITPLKmTBHLvPwdMwYQx5G0RSomxjFc6NmXOjD9xpchQWVZI-Jk/s320/images4.jpg" border="0" /></p><br /><p> <span style="color:#33cc00;">การปกครองสมัยอยุธยาตอนกลาง ( 1991-2231) มีลักษณะดังนี้ ช่วงเวลาทางการเมืองสมัยอยุธยาตอนกลางได้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ ทางการเมือง โดยมีสถาบันกษัตริย์เป็นหลักในการปกครองแบ่งได้ 2 ช่วง ช่วงที่ 1 เป็นช่วงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงปรับปรุงการปกครองใหม่เนื่องจากปัจจัยหลายๆอย่างเช่น เศรษฐกิจ ควบคุมหัวเมืองได้ไม่ทั่วถึง และเมืองลูกหลวงหรือเมืองหน้าด่านมีอำนาจมากขึ้น และมักแย่งชิงบัลลังก์อยู่เนืองๆ ประกอบกับอาณาเขตที่กว้างขวางกว่าเดิมพระองค์ได้จัดการแยก ทหารและ พลเรือนออกจากกัน และจัดการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้ราชธานีมีอำนาจมากขึ้น มีการควบคุมเข้มงวดมากขึ้น มีการปฏิรูปการปกครองแยกเป็น 2 ส่วน คือส่วนกลางและหัวเมือง</span></p><p> <span style="color:#ffcccc;">สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแยกการปกครองส่วนกลางเป็น 2 ฝ่าย คือ ทหารและพลเรือน ทหาร มี สมุหกลาโหมดูแล ส่วนพลเรือนมี สมุหนายก ดูแล สมุหนายก มีอัครมหาเสนาบดีตำแหน่ง สมุหนายก ดูแล ข้าราชการฝ่ายพลเรือนทั้งในราช สมุหกลาโหม มีอัครมหาเสนาบดีตำแหน่ง<br />สมุหพระกลาโหมเป็นผู้ดูแลฝ่ายทหาร ทั้งในราชานีและหัวเมือง และยังได้ปรับปรุงจตุสดมภ์ภายใต้การดูแลของ สมุหนายก อัครมหาเสนาบดีผู้ดูแลปรับเปลี่ยนชื่อเป็น ออกญาโกษาธิบดี<br />การปฏิรูปส่วนหัวเมือง แยกเป็น 3 ส่วน </span></p><p><span style="color:#33ccff;">+++ หัวเมืองชั้นใน ยกเลิกหัวเมืองลูกหลวง จัดตั้งเป็นเมืองชั้นใน ทรงขุนนางไปครองเรียก ผู้รั้ง +++ หัวเมืองชั้นนอก คือหัวเมืองประเทศราชเดิม ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาเรียกว่า เมืองพระยามหานคร จัดการปกครองใกล้ชิด เช่น พิษณุโลก นครศรีธรรมราช เป็นเมืองชั้นเอก โท และตรี +++ เมืองประเทศราช คือเมืองชาวต่างชาติที่ยอมอยู่ใต้อำนาจ เช่น ตะนาวศรี ทะวาย เขมร ให้เจ้านายพื้นเมืองเดิมปกครอง ส่งบรรณาการและกองทัพมาช่วยเวลาเกิดสงคราม ช่วงที่ 2 ตรงกับสมัยพระเพทราชา ถ่วงดุลอำนาจทางทหารโดยให้สมุหกลาโหม และสมุหนายก ดูแลทั้งทหารและพลเรือน โดยแบ่ง หัวเมืองใต้ ให้สมุหกลาโหมดูแลหัวเมืองทางใต้และพลเรือน ส่วนพลเรือนและทหารฝ่ายเหนือให้ สมุหกลาโหมดูแล</span> </p><p> <span style="color:#660000;"> การปกครองสมัยอยุธยาตอนปลาย ( ในช่วง 2231-2310) มีลักษณะดังนี้ พอถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ครองราชย์ ทรงปรับเปลี่ยนอำนาจทางทหาร เพื่อถ่วงดุลมากขึ้นโดย ให้พระโกษาธิบดีหรือพระคลัง ดูแลทหารและพลเรือนทางใต้ แทนสมุหกลา-โหม ส่วนสมุหนายก ยังคงเหมือนเดิม การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองสมัยอยุธยาตั้งแต่ตอนต้นจนถึงตอนปลายนั้น กระทำเพื่อการรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางให้มากที่สุด เพื่อถ่วงอำนาจ ระหว่างเจ้านาย และ ขุนนาง ไม่ให้เป็นภัยต่อพระมหากษัตริย์นั้นเอง<br />เข้าใจชัดแล้วใช่ไหมว่า ทำไมอยุธยาต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองค่อนข้างบ่อยเหตุผลก็เพื่อความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ที่เป็นหลักในการปกครองนั่นเอง </span></p><p> <span style="color:#ff0000;">สรุป </span><span style="color:#ff6666;">การปกครองสมัยอยุธยามีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเมืองโดยมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือพยายามรวมอำนาจการปกครองสู่ส่วนกลาง และควบคุมการปกครองหัวเมืองต่างๆให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พร้อมกับพยายามจัดรูปแบบการปกครอง เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับกลุ่มเจ้านายและขุนนาง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการปกครอง ดังนั้น สมัยอาณาจักรอยุธยาจึงเกิดการแย่งชิงอำนายทางการเมืองระหว่างพระมหากษัตริย์ เจ้านาย และขุนนาง ตลอดจนสิ้นอยุธยา<br /></span></p><br /><p><br /></p><br /><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEheu9ihYdc-amz_pPld0yc5ryC3gPdf1ss3B2HZeyne0DQPpC3xNNWsVbFUtC5rYdP-UmFRr4nOrOOrAcXdgDFSd9BHo6CTFGlSXL2rym_-5V_uIjeUAnQ9xYFjIauVvW8CyM6VXN_1rDs/s1600/imagesCALAQ593.jpg"></a></p></div></div></div>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-7466506852732288362010-05-28T08:14:00.000-07:002010-05-28T08:42:51.611-07:00วันวิสาขบูชา<div><div><div><div><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;"><span style="font-size:180%;">วันวิสาขบูชา</span><br /></span></span><br /></div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEit8SLg7idwcX0UL7bU8BpnxVJ2P_f6Uy80hQWotJyFA095U7sTaoExpBF_3p9-nmOqHzd6b7L0i676QSX5Udw6PVRKVJiTR-MRccpPmMKk0zwuoBNHxrkANODd4Qq1yk-FOXB7UQJKzwk/s1600/images5.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5476340936589530914" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 131px; CURSOR: hand; HEIGHT: 92px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEit8SLg7idwcX0UL7bU8BpnxVJ2P_f6Uy80hQWotJyFA095U7sTaoExpBF_3p9-nmOqHzd6b7L0i676QSX5Udw6PVRKVJiTR-MRccpPmMKk0zwuoBNHxrkANODd4Qq1yk-FOXB7UQJKzwk/s320/images5.jpg" border="0" /></a> <span style="color:#000099;"> <span style="font-size:130%;"> </span></span><span style="font-size:100%;color:#c0c0c0;">ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖ วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสา - ขบุรณมีบูชา " แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ " ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองครั้ง ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน ๗<br />ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง ๓ คราวคือ</span></div><br /><div><span style="font-size:130%;color:#ffff00;">1. เป็นวันประสูติ</span></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5476341274904131378" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 99px; CURSOR: hand; HEIGHT: 122px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWKxVmNfDwtZmabgCoHVLQ3rUFM5LZnX9PaXu1m7v3y5sqXYljnisCgR9k8vDSUE1fHofJtkSjnWu92mI9PldtV_8TTBkyvdeef8b1TrsTpLG9yLgi1MYLxFaN9mK59xpLcS_B6sZUPWQ/s320/images2.jpg" border="0" /></div><div> </div><div> <span style="color:#ffcc66;"> </span><span style="color:#ffcc00;">เมื่อพระนางสิริมหามายาอัครมเหสีในพระเจ้าสุโททะนะ ทรงมีพระประสูติกาลคือ เจ้าชายสิทธัตถะ ณ ป่าลุมพินีวัน ซึ่งเป็นดินแดนระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ กับกรุงเทวทหะ ปัจจุบันเรียกว่า ตำบลรุมมินเด แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล ครั้งนั้นตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี<br /></span></div><div><span style="font-size:130%;color:#006600;">2. เป็นวันตรัสรู้<br /></span></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5476341711226559282" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 97px; CURSOR: hand; HEIGHT: 122px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgINp_S4y_68IAxl0uu4kBNQb4BRiaqDvmwa7dGlLYhgTbP7D6AcQQEeEJamOsRRFYaRit5XFnmIj74VCrJvXzPNvfYkRiiOSj7IF0TbhEXvMgoHL0L8Dgw2EX9vsIvSPwntiyJEOkjtVE/s320/images3.jpg" border="0" /></div><div> </div><div> <span style="color:#33cc00;"> หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงถือเพศฆราวาสมา 29 พรรษา จนมีพระโอรสคือ พระราหุล แล้วทรงเบื่อหน่ายทางโลก จึงเสร็จออกบรรพชา ทรงประจักษ์หลักธรรมขึ้นในพระปัญญษ และได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย) ตรงกับวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ( ขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนม์มายุได้ 35 พรรษา หลังจากออกผนวช ได้ 6 ปี ) </span></div><div> </div><div><span style="font-size:130%;color:#663366;">3. เป็นวันปรินิพพาน</span></div><div> </div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5476341815934873970" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 92px; CURSOR: hand; HEIGHT: 116px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiB_R62JZ8vLjA2QjmmFqKBwfndXKEIC3VwI807i8sJAb6GYVqMwiU9pdVoXy7z98o4sO4IwJ4JJ3V6kGjd2U7bNdn-a7Tvt0oE5KMp3dGtnC-ynsvTHtCn_xVKpkmy7eADixx8OF-1IC0/s320/images4.jpg" border="0" /></div><div> <span style="color:#cc33cc;">หลังจากพระพุทธเจ้าองค์ทรงใช้เวลาทั้งหมดเผยแพร่พระศาสนาและสั่งสอนธรรมแก่ประชาชน จนพระชนมายุได้ 80 พรรษาก็เสร็จดับขันธปรินิพาน ณ สาลวโนทยาน แขวงเมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมือง กุสีนคระ) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ตรงกับวันอังคารขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ก่อนพุทธศักราช 1 ปี </span></div><div> </div><div> <span style="color:#33ccff;">นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ที่เหตุการณ์ทั้ง 3 เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกัน นับเวลาหลายสิบปี บังเอิญเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6 ดังนั้นเมื่อถึงวันสำคัญ เช่นนี้ ชาวพุทธทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต ได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาพระพุทธองค์เป็นการพิเศษ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ของพระองค์ท่าน ผู้เป็นดวงประทีปของโลก องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก</span></div><div> </div><div><span style="font-size:130%;color:#ff99ff;">+++ กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา</span> </div><div> <span style="color:#ff6666;">การปฏิบัติตนสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันมาฆบูชาคือ คือ ในตอนเช้า ควรไปทำบุญตักบาตร ไปวัดเพื่อฟังพระธรรมเทศนา หรือจัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหาร ช่วงบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา เจริญสมาธิภาวนา เมื่อถึงตอนค่ำ นำดอกไม้ ธุปเทียนไปเวียนเทียน 3 รอบที่พระอุโบสถ โดยการเวียนเทียนนั้นจะเวียนขวา จำนวน 3 รอบ และช่วงเวลาที่เดินอยู่นั้นให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นอกจากนี้พุทธศาสนิกชนควรบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามสถานที่ต่างๆ และรักษาศีล สำหรับตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ จะมีการประดับธงชาติ ธงธรรมจักร เพื่อระลึกถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา </span></div><div><span style="color:#ff6666;"></span> </div><div> </div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5476341904252529250" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 135px; CURSOR: hand; HEIGHT: 101px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEipfmjhrcoBsFrmf25q1rkaHjlPqztjLvCSwN-8mPdrcsXsVs52CpM5WFqdLKBuirOAT5qpjP_cSnR7EAY4wuXSom2sJumRNBd83gobUeQsKMBQmrGiqb51e38k1pMZ8l_XXlVI0jxV57c/s320/images1.jpg" border="0" /></div><div><span style="font-size:130%;color:#33cc00;">+++ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดกิจกรรมในวันมาฆบูชา</span> </div><div> <span style="color:#339999;">พุทธศาสนิกชนจะมีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับความสำคัญของวันมาฆบูชา รวมทั้งหลักธรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความตระหนักต่อความสำคัญของพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะชาวพุทธ และยังเป็นการช่วยธำรงพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไป <br /> </span></div><div><span style="color:#339999;"></span> </div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5476341993713036162" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 107px; CURSOR: hand; HEIGHT: 109px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgylhzyGSZebM_WGpsgNOA8td-w6SjfWQZGilLArRgSslmZMjRaH8PF9OgmvD5vat7rkuji5QhhpvkoTFHQwarOyeha2e8FvCVGI4gu_jkYO_MZ69kjxu5la55B9p_hj17i2YTW2RL4y80/s320/images.jpg" border="0" /></div><div><br /><br /> </div><div><br /><br /><br /><br /><br /><div></div><br /><br /><br /><br /><br /><div></div></div></div>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-58628327132580773502010-05-25T08:19:00.000-07:002010-05-25T08:20:31.773-07:00แบบทดสอบหลังเรียน<a href="http://quickr.me/nYVGbrA">http://quickr.me/nYVGbrA</a>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-79206266356566223062010-05-24T08:43:00.000-07:002010-05-24T08:55:59.140-07:00การปกครองสมัยสุโขทัย<span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ยุคสมัยกรุงสุโขทัย<br /></span><span style="color:#ff99ff;"><strong> ในปี พ.ศ.๑๗๙๒-พ.ศ.๑๙๘๑ ราชอาณาจักรไทยได้สถาปนาขึ้นเป็นกรุงสุโขทัยสมัยสุโขทัยเป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือ พ่อขุนแห่งกรุงสุโขทัยทรงเป็นประมุขและทรงปกครองประชาชนในลักษณะ "พ่อปกครองลูก" คือถือพระองค์องค์เป็นพ่อที่ให้สิทธิและเสรีภาพ และใกล้ชิดกับราษฎร มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองป้องกันภัยและส่งเสริมความสุขให้ราษฎร ราษฎรในฐานะบุตรก็มีหน้าที่ให้ความเคารพเชื่อฟังพ่อขุน</strong> </span><br /><br /><br /><span style="color:#ff99ff;"></span><br /><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5474864013103279138" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 137px; CURSOR: hand; HEIGHT: 103px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiL03otFGkQde9S3_tEG8QuuUp5qFiEIr8OJ0DW3np5N6BTEunqnON632YA6UektyexifnyOznHDFo82SJsQRhbbiCaM2plRGL7g9u4rhyXrlF8s5lth36EFWCu9wgHX0svWP41hLutjJw/s320/imagesCA5SGC1Q.jpg" border="0" /><strong><span style="color:#33cc00;"> พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยทรงดำเนินการปกครองประเทศด้วยพระองค์เองโดยมีพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้ช่วยเหลือในการปกครองต่างพระเนตร พระกรรณ และรับผิดชอบโดยตรงต่อพระองค์ อาณาจักรสุโขทัยได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ได้รวบรวมหัวเมืองน้อยเข้าไว้ในปกครองมากมาย ยากที่จะปกครองหัวเมืองต่างๆ ด้วยพระองค์เองได้อย่างทั่วถึง การเมืองการปกครองต่างๆ ในสมัยนั้นอาจจำแนกออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ</span></strong><br /><br /><br /><strong><span style="color:#33ccff;">๑.การปกครองส่วนกลาง ส่วนกลาง ได้แก่ เมืองหลวงและเมืองลูกหลวง เมืองหลวง คือสุโขทัยนั้นอยู่ในความปกครองของพระมหากษัตริย์โดยตรง เมืองลูกหลวง เป็นเมืองหน้าด่านที่อยู่รายล้อมเมืองหลวง ๔ ทิศ เมืองเหล่านี้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้พระราชโอรสไปปกครองได้แก่<br />(๑)ทิศเหนือ เมืองศรีสัชนาลัย (สวรรคโลก)<br />(๒)ทิศตะวันออก เมืองสองแคว (พิษณุโลก)<br />(๓) ทิศใต้ เมืองสระหลวง (พิจิตร)<br />(๔) ทิศตะวันตก เมืองกำแพงเพชร (ชากังราว) </span></strong><br /><br /><br /><strong><span style="color:#ffcc00;">๒.การปกครองหัวเมือง หัวเมือง หมายถึงเมืองที่อยู่นอกอาณาเขตเมืองลูกหลวง มี ๒ ลักษณะ คือ<br />(๑)หัวเมืองชั้นนอก เป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลจากกรุงสุโขทัย หรืออยู่รอบนอกของเมืองหลวงบางเมือง มีเจ้าเมืองเดิม หรือเชื้อสายของเจ้าเมืองเดิมปกครองบางเมือง พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยทรงแต่งตั้ง เชื้อพระวงศ์หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ไว้วางพระราชหฤทัยไปปกครอง บางครั้งเรียกหัวเมืองชั้นนอกว่า เมืองท้าวพระยา มหานคร<br />(๒)หัวเมืองประเทศราช เป็นเมืองภายนอกพระราชอาณาจักร เมืองเหล่านี้มีกษัตริย์ของตนเองปกครอง แต่ยอมรับในอำนาจของกรุงสุโขทัย พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยเป็นเพียงเจ้าคุ้มครอง โดยหัวเมืองเหล่านี้จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวาย และส่งทหารมาช่วยรบเมื่อทางกรุงสุโขทัยมีปัญหา</span></strong><br /><strong><span style="color:#ffcc00;"></span></strong><br /><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5474863057708287378" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 146px; CURSOR: hand; HEIGHT: 112px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGjwmDiPtWA51Rx6EUJy7W7pNAdKQS5WdY76EbB4-RE98A5RkaSh-yKLFmcIQOFrTVHdyYxc05_tPDbq7inGhJynIGN5ZQ8rSP6JJRpLzwizqIllBzMyHAK1UyYheA-xKN0s8awojoNLw/s320/imagesCALAQ593.jpg" border="0" /><span style="font-size:130%;color:#330099;">การปกครองสมัยกรุงสุโขทัย</span></p><p><strong><span style="color:#ffcc00;">ประวัติศาสตร์ไทย เริ่มขึ้นตั้งแต่การอพยพย้ายเข้ามาของกลุ่มคนพูดภาษา ไท-ลาวจากถิ่นบรรพบุรุษซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนเดิมเข้ามายังดินแดน </span></strong><a title="เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89"><strong><span style="color:#ffcc00;">เอเชียตะวันออกเฉียงใต้</span></strong></a><strong><span style="color:#ffcc00;"> ราวคริสต์ศตวรรษที่ 10 อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานอยู่ก่อนแล้ว โดยมีมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่า เป็นต้นมา คือ ราว 10,000 ปีที่แล้ว แต่สำหรับรัฐของคนไทยแล้ว ตามตำนานโยนกได้บันทึกว่า การก่อตั้งอาณาจักรของคนไทยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อราว </span></strong><a title="พ.ศ. 1400" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._1400"><strong><span style="color:#ffcc00;">พ.ศ. 1400</span></strong></a><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2#cite_note-0#cite_note-0"><strong><span style="color:#ffcc00;">[1]</span></strong></a></p><p><strong><span style="color:#993399;">การล่มสลายของ</span></strong><a title="จักรวรรดิขะแมร์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%8C"><strong><span style="color:#993399;">จักรวรรดิขะแมร์</span></strong></a><strong><span style="color:#993399;"> เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทำให้เกิด</span></strong><a title="อาณาจักรสุโขทัย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2"><strong><span style="color:#993399;">อาณาจักรสุโขทัย</span></strong></a><strong><span style="color:#993399;"> ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี </span></strong><a title="พ.ศ. 1781" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._1781"><strong><span style="color:#993399;">พ.ศ. 1781</span></strong></a><strong><span style="color:#993399;"> นักประวัติศาสตร์จำนวนมากถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการนับประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งตรงกับสมัยรุ่งเรืองของ</span></strong><a title="อาณาจักรล้านนา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2"><strong><span style="color:#993399;">อาณาจักรล้านนา</span></strong></a><strong><span style="color:#993399;"> และ</span></strong><a title="อาณาจักรล้านช้าง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87"><strong><span style="color:#993399;">อาณาจักรล้านช้าง</span></strong></a><strong><span style="color:#993399;"> อาณาจักรสุโขทัยขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัย</span></strong><a title="พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A"><strong><span style="color:#993399;">พ่อขุนรามคำแหงมหาราช</span></strong></a><strong><span style="color:#993399;"> แต่เริ่มอ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์ <br /></span></strong><a title="สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_1"><strong><span style="color:#993399;">พระเจ้าอู่ทอง</span></strong></a><strong><span style="color:#993399;">ทรงก่อตั้ง</span></strong><a title="อาณาจักรอยุธยา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2"><strong><span style="color:#993399;">อาณาจักรอยุธยา</span></strong></a><strong><span style="color:#993399;">เป็นอาณาจักรของชนชาติไทยขึ้นทางลุ่ม</span></strong><a title="แม่น้ำเจ้าพระยา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2"><strong><span style="color:#993399;">แม่น้ำเจ้าพระยา</span></strong></a><strong><span style="color:#993399;"> การเข้าแทรกแซงสุโขทัยอย่างต่อเนื่องทำให้อาณาจักรสุโขทัยตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา ต่อมา ในรัชสมัยของ</span></strong><a title="สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%96"><strong><span style="color:#993399;">สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ</span></strong></a><strong><span style="color:#993399;"> พระองค์ทรงทำสงครามกับ</span></strong><a title="อาณาจักรล้านนา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2"><strong><span style="color:#993399;">อาณาจักรล้านนา</span></strong></a><strong><span style="color:#993399;">ในรัชสมัยของ</span></strong><a title="พระเจ้าติโลกราช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A"><strong><span style="color:#993399;">พระเจ้าติโลกราช</span></strong></a><strong><span style="color:#993399;">อยู่หลายปี และพระองค์ได้ทรงไปประทับอยู่ที่</span></strong><a title="จังหวัดพิษณุโลก" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81"><strong><span style="color:#993399;">เมืองพิษณุโลก</span></strong></a><span style="color:#993399;"><strong> อันเป็นจุดสิ้นสุดของอาณาจักรสุโขทัย นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงปฏิรูปการปกครองโดยการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยมีบางส่วนใช้มาจนถึงปัจจุบัน</strong></span></p><p><span style="color:#993399;"><strong><span style="color:#663300;">การยึดครอง</span><a title="มะละกา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2"><span style="color:#663300;">มะละกา</span></a><span style="color:#663300;">ของโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2054 ตรงกับรัชสมัยของ </span><a title="สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_2"><span style="color:#663300;">สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2</span></a><span style="color:#663300;"> ทำให้อยุธยาเริ่มการติดต่อกับชาติตะวันตก อย่างไรก็ตาม ราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อ</span><a title="ราชวงศ์ตองอู" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B9"><span style="color:#663300;">ราชวงศ์ตองอู</span></a><span style="color:#663300;">ของพม่าเริ่มมีอำนาจมากขึ้น จึงได้เริ่มการขยายดินแดนมายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของ</span><a title="พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%89"><span style="color:#663300;">พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้</span></a><span style="color:#663300;">และ</span><a title="พระเจ้าบุเรงนอง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87"><span style="color:#663300;">พระเจ้าบุเรงนอง</span></a><span style="color:#663300;"> การสงครามอันยาวนานนับตั้งแต่ พ.ศ. 2091 ส่งผลให้</span><a title="การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87"><span style="color:#663300;">อยุธยาตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรตองอู</span></a><span style="color:#663300;">ในที่สุด แต่</span><a title="สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A"><span style="color:#663300;">สมเด็จพระนเรศวรมหาราช</span></a><span style="color:#663300;">ก็ทรงประกาศอิสรภาพในเวลาไม่นานนัก</span></strong></span></p><p><strong><span style="color:#cc33cc;">จากนั้น อยุธยากลายมาเป็นรัฐที่ทรงอำนาจมากที่สุดในภูมิภาค โดยมีอำนาจขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชสมัย</span><a title="สมเด็จพระนารายณ์มหาราช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A"><span style="color:#cc33cc;">สมเด็จพระนารายณ์มหาราช</span></a><span style="color:#cc33cc;"> อย่างไรก็ตาม ความสงสัยในตัวของ</span><a title="เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน)" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C_(%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99_%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99)"><span style="color:#cc33cc;">คอนสแตนติน ฟอลคอน</span></a><span style="color:#cc33cc;"> สมุหนายก จึงทำให้ถูกสังหารโดย</span><a title="สมเด็จพระเพทราชา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2"><span style="color:#cc33cc;">พระเพทราชา</span></a><span style="color:#cc33cc;"> ความสัมพันธ์กับต่างชาติก็เสื่อมโทรมลงนับตั้งแต่นั้น อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมอำนาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 การทำสงครามกับพม่าหลังจากนั้นส่งผลทำให้</span><a title="การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87"><span style="color:#cc33cc;">อยุธยาถูกปล้นสะดมและเผาทำลาย</span></a><span style="color:#cc33cc;"> เมื่อปี </span><a title="พ.ศ. 2310" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2310"><span style="color:#cc33cc;">พ.ศ. 2310</span></a><span style="color:#cc33cc;"> ในที่สุด </span><a title="สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5"><span style="color:#cc33cc;">พระยาตาก</span></a><span style="color:#cc33cc;">ได้</span><a title="การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%81"><span style="color:#cc33cc;">รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช</span></a><span style="color:#cc33cc;"> และย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี ซึ่งเป็น</span><a title="อาณาจักรธนบุรี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5"><span style="color:#cc33cc;">เมืองหลวงของคนไทย</span></a><span style="color:#cc33cc;">เป็นเวลานาน 15 ปี จนกระทั่ง </span><a title="พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81"><span style="color:#cc33cc;">พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก</span></a><span style="color:#cc33cc;"> ได้สถาปนา</span><a title="กรุงรัตนโกสินทร์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C"><span style="color:#cc33cc;">กรุงรัตนโกสินทร์</span></a><span style="color:#cc33cc;">ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 โดยมี</span><a title="กรุงเทพมหานคร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3"><span style="color:#cc33cc;">กรุงเทพมหานคร</span></a><span style="color:#cc33cc;">เป็นเมืองหลวง</span></strong></p><p><strong><span style="color:#ff6600;">ในรัชสมัยของ</span><a title="พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7"><span style="color:#ff6600;">พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</span></a><span style="color:#ff6600;"> </span><a title="เซอร์จอห์น เบาริ่ง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%99_%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87"><span style="color:#ff6600;">เซอร์จอห์น เบาริ่ง</span></a><span style="color:#ff6600;"> ราชทูตอังกฤษ ได้เข้ามาทำ</span><a title="สนธิสัญญาเบาว์ริง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87"><span style="color:#ff6600;">สนธิสัญญาเบาว์ริง</span></a><span style="color:#ff6600;"> อันเป็นสนธิสัญญาซึ่งไม่เป็นธรรมฉบับแรกที่ทำกับต่างชาติ ตามด้วยการทำสนธิสัญญาอีกหลายฉบับ ต่อมา การคุกคามของฝรั่งเศสและอังกฤษทำให้สยาม</span><a title="การเปลี่ยนแปลงดินแดนของสยามและไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><span style="color:#ff6600;">เสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสและอังกฤษ</span></a><span style="color:#ff6600;"> ในรัชสมัย</span><a title="พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7"><span style="color:#ff6600;">พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</span></a><span style="color:#ff6600;"> หากแต่อาณาจักรสยามยังคงสามารถธำรงตนเป็นรัฐซึ่งไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกได้ กุศโลบายของ</span><a title="พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7"><span style="color:#ff6600;">พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว</span></a><span style="color:#ff6600;"> ทำให้ไทยเข้าร่วม</span><a title="สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87"><span style="color:#ff6600;">สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง</span></a><span style="color:#ff6600;"> โดยอยู่ฝ่ายเดียวกับ</span><a title="ไตรภาคี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B5"><span style="color:#ff6600;">ฝ่ายพันธมิตร</span></a><span style="color:#ff6600;"> ทำให้สยามได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ นำมาซึ่งการแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลายเพื่อให้ชาติมี</span><a title="อธิปไตย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2"><span style="color:#ff6600;">อธิปไตย</span></a><span style="color:#ff6600;">อย่างแท้จริง แต่กว่าจะเสร็จก็ล่วงถึงรัชสมัย</span><a title="พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A5"><span style="color:#ff6600;">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล</span></a><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2#cite_note-1#cite_note-1"><span style="color:#ff6600;">[2]</span></a></strong></p><p><strong><span style="color:#33cc00;">วันที่ </span><a title="24 มิถุนายน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/24_%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99"><span style="color:#33cc00;">24 มิถุนายน</span></a><span style="color:#33cc00;"> </span><a title="พ.ศ. 2475" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2475"><span style="color:#33cc00;">พ.ศ. 2475</span></a><span style="color:#33cc00;"> ได้มี</span><a title="การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2475"><span style="color:#33cc00;">การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง</span></a><span style="color:#33cc00;">มาเป็น</span><a title="ประชาธิปไตย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2"><span style="color:#33cc00;">ประชาธิปไตย</span></a><span style="color:#33cc00;"> ทำให้</span><a title="คณะราษฎร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3"><span style="color:#33cc00;">คณะราษฎร</span></a><span style="color:#33cc00;">เข้ามามีบทบาทในทางการเมือง </span><a title="สงครามโลกครั้งที่สองในประเทศไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><span style="color:#33cc00;">ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง</span></a><span style="color:#33cc00;"> ประเทศไทยได้ลงนามเป็น</span><a title="ฝ่ายอักษะ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9D%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B0"><span style="color:#33cc00;">พันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น</span></a><span style="color:#33cc00;"> และประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร แต่เนื่องจากประเทศ</span><a title="ฝ่ายสัมพันธมิตร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9D%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3"><span style="color:#33cc00;">ฝ่ายสัมพันธมิตร</span></a><span style="color:#33cc00;">ให้การยอมรับในขบวนการ</span><a title="เสรีไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><span style="color:#33cc00;">เสรีไทย</span></a><span style="color:#33cc00;"> ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม ในช่วง</span><a title="สงครามเย็น" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%87%E0%B8%99"><span style="color:#33cc00;">สงครามเย็น</span></a><span style="color:#33cc00;"> ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็น</span><a title="พันธมิตรนอกนาโต" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%95"><span style="color:#33cc00;">พันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา</span></a><span style="color:#33cc00;"> โดยมีนโยบายในการต่อต้านการขยายตัวของ</span><a title="คอมมิวนิสต์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C"><span style="color:#33cc00;">คอมมิวนิสต์</span></a><span style="color:#33cc00;">ในภูมิภาค และส่งทหารไปร่วมรบใน</span><a title="สงครามเกาหลี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5"><span style="color:#33cc00;">สงครามเกาหลี</span></a><span style="color:#33cc00;">และ</span><a title="สงครามเวียดนาม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1"><span style="color:#33cc00;">สงครามเวียดนาม</span></a><span style="color:#33cc00;"> ต่อมา ประเทศไทยประสบกับ</span><a title="คอมมิวนิสต์ในประเทศไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><span style="color:#33cc00;">ปัญหาการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในประเทศ</span></a><span style="color:#33cc00;"> แต่ก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศมากนัก หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ใน</span><a title="เผด็จการทหาร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3"><span style="color:#33cc00;">ระบอบเผด็จการ</span></a><span style="color:#33cc00;">ในทางปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษ นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเป็นคนแรกเป็นผลมาจากการเลือกตั้งในปี </span><a title="พ.ศ. 2516" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2516"><span style="color:#33cc00;">พ.ศ. 2516</span></a><span style="color:#33cc00;"> ภายหลัง</span><a title="เหตุการณ์ 14 ตุลา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C_14_%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2"><span style="color:#33cc00;">เหตุการณ์ 14 ตุลา</span></a><span style="color:#33cc00;"> ซึ่งในช่วงเวลานั้น ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และได้มีการสืบทอดอำนาจของ</span><a title="เผด็จการทหาร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3"><span style="color:#33cc00;">รัฐบาลทหาร</span></a><span style="color:#33cc00;">ผ่าน</span><a title="รัฐประหาร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3"><span style="color:#33cc00;">การก่อรัฐประหาร</span></a><span style="color:#33cc00;">หลายสิบครั้ง อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นได้มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญใน</span><a title="เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%AC"><span style="color:#33cc00;">เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ</span></a><span style="color:#33cc00;"> ประชาธิปไตยในประเทศเริ่มมีความมั่นคงยิ่งขึ้น</span></strong></p><p><strong><span style="color:#ff6666;">ในปัจจุบัน ได้เกิด</span><a title="วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2553" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2548-2553"><span style="color:#ff6666;">วิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเทศ</span></a><span style="color:#ff6666;"> นับตั้งแต่รัฐบาล</span><a title="ทักษิณ ชินวัตร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93_%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3"><span style="color:#ff6666;">ทักษิณ ชินวัตร</span></a><span style="color:#ff6666;"> เมื่อปี พ.ศ. 2549 เกิด</span><a title="รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2549"><span style="color:#ff6666;">รัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการ</span></a><span style="color:#ff6666;"> ก่อนที่ประเทศไทยจะกลับมาเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง แต่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในประเทศไทยจะยังคงบั่นทอนความเจริญก้าวหน้าของประเทศต่อไป<br /></span></strong><span style="color:#ff6600;"><br /></p></span><p><strong><span style="color:#ff6600;"></span></strong></p><br /><p><span style="color:#ff6600;"></span><strong><span style="color:#ffcc00;"></p><br /><br /><br /></span></strong>OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-416436126301587954.post-45682506086530652452010-05-05T18:34:00.000-07:002010-05-05T18:40:43.040-07:00Karo ขบวนการอ๊บอ๊บป่วนโลก<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVNqcG1IoFl47RDWlMcyHZOZjg5-qytjvj8uPN8QBqgNvtOFgbxpRBQpnDdi9skIeKdv4KsXaT3YJXSqFTfF6D4TIfJwSAG642q2MDPfVIbnRwLHjcVEcC2cUIbysC7amq2A38zzq8aOA/s1600/imagesCA3CCUZ5.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5467965592181380418" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 130px; CURSOR: hand; HEIGHT: 120px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVNqcG1IoFl47RDWlMcyHZOZjg5-qytjvj8uPN8QBqgNvtOFgbxpRBQpnDdi9skIeKdv4KsXaT3YJXSqFTfF6D4TIfJwSAG642q2MDPfVIbnRwLHjcVEcC2cUIbysC7amq2A38zzq8aOA/s320/imagesCA3CCUZ5.jpg" border="0" /></a><br /><div></div><br /> สิบโทเคโรโระและผองเพื่อน "ขบวนการอ๊บอ๊บ"OPO-porhttp://www.blogger.com/profile/12599586987943812745noreply@blogger.com1